ตามกำหนดการที่ประกาศออกมา วันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นไป ถือเป็นวันเปิดสมัยประชุมรัฐสภา วันที่ 24 พฤษภาคม จะมีรัฐพิธีเปิดสภา และวันที่ 25 พฤษภาคม ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะลงมติเลือกประธานสภาของตัวเอง เท่ากับว่าไม่เกินวันที่ 25 พฤษภาคม ความคลุมเครือของการเลือกขั้วที่ขณะนี้กำลังมีการต่อรอง จูงใจ ล็อบบี้ กันอย่างคึกคักจะปรากฏผลเป็นที่แน่ชัด เมื่อถึงวันนั้นจะได้ทราบท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองหรือแม้แต่ ส.ส.แต่ละคนที่ยกมือโหวตให้ขั้วหรือพรรคหรือบุคคลที่ตัวเองสนับสนุน ดังนั้นวันที่ 25 พฤษภาคมจึงเป็นวันที่การเมืองเริ่มเผยโฉมหน้าของตัวเอง
ย้อนกลับไปหลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ผลการเลือกตั้งที่ กกต.ประกาศภายหลังจากวันเลือกตั้ง 2 เดือนปรากฏว่าบรรดาพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ได้จับขั้วกัน ขั้วหนึ่งคือพรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส.ที่ประกาศตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เมื่อรวมเสียงจากพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะได้คะแนนเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภา คือได้ 253 เสียง ส่วนอีกขั้วหนึ่งคือพรรคเพื่อไทยที่รวมกับพรรคอื่นๆ อีก 6 พรรค มีจำนวน 245 เสียง โดยยังไม่รวมพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์จึงกลายเป็นพรรคเนื้อหอมที่หากตัดสินใจไปอยู่ขั้วไหนขั้วนั้นก็มีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง
การต่อสู้แย่งชิงเสียงจากพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จึงดุเดือดถึงขนาดพรรคเพื่อไทยประกาศไม่สนใจเรื่องตำแหน่ง เพียงขอให้บรรลุเป้าหมายสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจของ คสช.เท่านั้น ส่วนความเคลื่อนไหวของขั้วพรรคพลังประชารัฐมีแต่กระแสข่าวต่อรองโควต้ากระทรวงและเก้าอี้รัฐมนตรี พร้อมๆ กันนั้น ศาลรัฐธรรมนูญก็มีกำหนดพิจารณาคำร้องเรื่องคุณสมบัติของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งหากมีมติรับคำร้องอาจมีคำสั่งให้เบรกนายธนาธร ทำให้ไม่สามารถเข้าสภาในฐานะผู้แทนราษฎรได้
อย่างไรก็ตาม เกมการแข่งขันทางการเมืองในการโหวตเลือกขั้วน่าจะชัดเจนภายในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไปทุกอย่างที่คลุมเครือจะค่อยๆ คลี่คลายไม่ว่าจะเป็นจุดยืนของพรรคการเมืองแต่ละพรรค หรือกระแสข่าว “งูเห่า” ที่มีมาโดยตลอด หรือโควต้ากระทรวงและเก้าอี้รัฐมนตรีที่แต่ละพรรคต้องการ และเมื่อถึงเวลานั้นการเมืองก็จะเผยโฉมหน้าให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เห็น
