พลันที่ภาพ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนโอบ กอดกับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ณ ทีเฮาส์ ย่านถนนพระรามที่ 6 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม
สถานการณ์จับขั้วเพื่อช่วงชิงกันจัดตั้งรัฐบาลก็ถึงจุดอันอาจพลิกผันแปรเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะข้อ “ต่อรอง” ที่ออกมามากด้วยความเข้มข้น
เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน เป้าหมายของพรรคภูมิใจไทย คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คำถามอยู่ที่ว่า คสช.และพรรคพลังประชารัฐจะยอมให้หรือไม่
เงื่อนไขระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ที่เสนอพรรคพลังประชารัฐจึงไม่ซับซ้อน
หากพรรคพลังประชารัฐยินดีมอบ 6 กระทรวงนี้ให้ก็โอเค
แต่ถ้าหากพรรคพลังประชารัฐไม่ยินยอม นั่นก็หมายถึงการต่อรองจะดำเนินต่อไป แต่สถานการณ์ก็แทบไม่อำนวยให้กับพรรคพลังประชารัฐเท่าใดนัก
เพราะวันที่ 25 พฤษภาคม ก็มีวาระที่จะต้องตัดสินใจและแสดงออก
นั่นก็คือ ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นใคร
ยังคงเป็น นายสุชาติ ตันเจริญ อยู่หรือไม่ หรืออาจยินยอมให้เป็นของ นายชวน หลีกภัย และ นายสุชาติ ตันเจริญ ถอยไปอยู่ในตำแหน่งรองประธานสภา
คำตอบของพรรคพลังประชารัฐต่อพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย จึงไม่น่าจะเกินวันที่ 24 พฤษภาคม เพราะหากช้ากว่านั้นเรื่องก็คงจะระเบิดเถิดเทิง
ในที่สุดนายกรัฐมนตรีอาจมิใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ที่ทีมงานโฆษกพรรคพลังประชารัฐออกมาแสดงความเป็นห่วงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลในทำนองว่า อาจสร้างความสับสนก่อให้เกิด ความวิตกกังวล
ในความเป็นจริง ประชาชนมิได้วิตกกังวลอะไรมากนัก
เป็นคสช.และพรรคพลังประชารัฐต่างหากที่อยู่ในความวิตกกังวลเพราะการทุกอย่างมิได้เป็นไปตามความปรารถนา
มิอาจ “กินรวบ” จำเป็นต้อง “กินแบ่ง”