ภายหลังนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่(ศม.) ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคศม. แต่ยังคงสถานะเป็นสมาชิกพรรคศม. และยังดำรงตำแหน่งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคศม.เหมือนเดิม โดยหนังสือลาออกให้มีผลตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม เป็นต้นไป
ทั้งนี้นายมิ่งขวัญ ให้เหตุผลในการลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคศม. คือ การรับผิดชอบในการร่างนโยบายระบบเศรษฐกิจใหม่ การออกไปพูดกับสาธารณชน และสื่อต่างๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งได้ผ่านพ้นการเลือกตั้งมาเรียบร้อยแล้ว จึงเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงขอลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคศม. อย่างไรก็ตามในหนังสือลาออก ได้ระบุว่า นายสุภดิช อากาศฤกษ์ รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 จะทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค ตามข้อบังคับพรรค ข้อ 14 ไปก่อนจนกว่าจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้พรรคศม.ได้รับรองผลการเลือกตั้งจากกกต. เป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 6 คน ได้แก่ ลำดับที่ 1 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
ลำดับที่ 2 นายสุภดิช อากาศฤกษ์ ลำดับที่ 3 นายนิยม วิวรรธนดิฐกุล ลำดับที่ 4 นายภาสกร เงินเจริญกุล ลำดับที่ 5 นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์
ลำดับที่ 6 นางมารศรี ขจรเรืองโรจน์
อย่างไก็ตามพรรคศม.ได้ร่วมลงสัตยาบันกับขั้วของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่มีพรรคเพื่อไทย(พท.) เป็นแกนนำรวมทั้งสิ้น 7 พรรค รวม 245 เสียง ได้แก่ 1.พรรคพท. 136 เสียง 2.พรรคอนาคตใหม่(อนค.) 80 เสียง 3.พรรคเสรีรวมไทย(สร.) 10 เสียง 4.พรรคประชาชาติ(ปช.) 7 เสียง 5.พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 เสียง
6.พรรคเพื่อชาติ(พ.พ.ช.) 5 เสียง และ7.พรรคพลังปวงชนไทย(พลท.) 1 เสียง
ซึ่งเป็นที่น่าวิเคราะห์ว่า ภายหลังการลาออกจากหัวหน้าพรรคศม. ของนายมิ่งขวัญ เสียงของส.ส.ของพรรคศม.อีก 5 เสียง จะยังคงมีจุดยืนที่เหนียวแน่นกับขั้วการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทั้ง 7 พรรคหรือไม่ ซึ่งจะต้องจับตาดูว่าในห้วงของการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 25 พฤษภาคม รวมทั้งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส.ของพรรคศม.จะโหวตไปในทิศทางใด
หากสวิงย้ายขั้วไปร่วมโหวตให้ฝั่งของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) จะยิ่งทำให้โอกาสของขั้วพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังฟอร์มเสียงขอสู้ทั้งเก้าอี้”ประธานสภาฯ”และ”นายกฯ” ยากลำบากยิ่งขึ้น
