ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
แม้ว่าจะอีหลุกขลุกขลักอยู่ไม่น้อย สำหรับการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล แต่จนถึงวันนี้ความเชื่อว่านายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง จะชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีมากกว่าคนอื่น
ยังไม่มีใครคลี่คลายปม “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ได้
อย่างไรก็ตาม เพราะความทุลักทุเลในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคที่รับปากในเบื้องต้นว่าจะเข้าร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดคำถามถึง “เสถียรภาพของรัฐบาล” ว่าจะอยู่รอดปลอดภัยกันแค่ไหน
แม้ว่าผู้มีอำนาจในปัจจุบัน จะเชื่อมั่นว่าแค่ขอให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นการจัดการให้เกิดเสถียรภาพไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เพราะ “กฎหมายที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” นั้น
อำนาจหลักไม่ได้อยู่ที่ “พรรคการเมือง” ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน “นักการเมือง” ถูกควบคุมเข้มข้นจาก “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” สามารถชี้เป็นคนอยู่ในลู่ และชี้ตายคนไม่อยู่นอกทางได้ง่ายๆ
ข้อหาต่างๆ ที่หยิบมาจัดการคนที่เป็นปัญหามีมากมาย หยิบมาใช้ได้ง่ายๆ เหมือนที่ทำให้ดูแล้วในหลายเรื่อง
ใครไม่อยากได้ก็อย่าริทำตัวให้เห็นออกนอกลู่นอกทาง
ทำให้รัฐบาลอยู่ได้ยาวนั้นทำได้
เพียงแต่ว่า แม้การอยู่ยาวของรัฐบาลยังเป็นไปได้ด้วย “อำนาจที่ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” แต่การบริหารจัดการให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก การร่วมรัฐบาลของพรรคการเมืองต่าง “ไม่ได้เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ” แต่เริ่มด้วยเกมต่อรองเพื่อให้พวกตัวเอง พรรคตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด
กระทั่งขัดท่าทีที่จะสะท้อนความไม่จริงใจมาขู่กันสารพัด
จนเป็นการอยู่ร่วมกันที่ดูจะเริ่มที่ความกินแหนงแคลงจิต ไม่ไว้วางใจกันไปแล้ว
ซึ่งก็ว่าไปสถานการณ์ของแต่ละพรรคบังคับให้ต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง
อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยอดีตหัวหน้าพรรคประกาศอุดมการณ์พรรคไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งด้วยคำอันหนักแน่นว่า “ต้องไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ด้วย 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศเสียหายมากเกินไปแล้ว” เมื่อต้องพลิกมาร่วมรัฐบาลกับพรรคที่ “รัฐธรรมนูญดีไซน์ไว้เพื่อพวกเรา” ย่อมต้องหาเหตุผลที่หนักแน่นในการไปอ้างถึงความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปกับประชาชน
“เก้าอี้รัฐมนตรีที่ดูแลนโยบายที่ประกาศไว้ว่าจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ฐานเสียงได้” เป็นเรื่องจำเป็นต้องมีไว้
ด้วยถ้าไม่มีจะเสี่ยงต่อสภาวะ “พรรคแตก” สูงยิ่งซึ่งเป็นเรื่องทำใจลำบากของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศ
และ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งความโดดเด่นของพรรคคือการวางเกมในการต่อรองให้ได้กระทรวงสำคัญๆ ในรัฐบาลให้มากที่สุด ความสามารถนี้ทำให้นักการเมืองอาชีพมีความเชื่อมั่นในผู้นำ
หัวหน้าหรือผู้บริหารพรรคมีความจำเป็นต้องโชว์การนำให้ลูกพรรคศรัทธา ให้ความไว้วางใจในความเจริญรุ่งเรืองของสมาชิกพรรค
เพราะความจำเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลดังที่ว่ามา ทำให้หากจะถามว่าพรรคที่มีปัญหาในการฟอร์มรัฐบาลมากที่สุดคือพรรคอะไร
คำตอบคือ “พลังประชารัฐ”
การจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “พรรคนี้” ย่อมต้องรู้ตัวเองว่าเป็น “พรรคใหม่”
เป็นพรรคที่มีส่วนผสมอยู่สองซีก คือ “ฝ่ายหนึ่งเชี่ยวชาญทางการเมือง” ลงทุน ลงแรงและทุ่มเทงานเพื่อสร้างพรรคกันมาอย่างเข้มข้น
อีกส่วนหนึ่งเป็น “ละอ่อนทางการเมือง” อาศัยใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจขึ้นมามีบทบาทภายในพรรค
แต่เป็นธรรมดาที่นักการเมืองอาชีพที่อยู่มายาวนาน มีความจำเป็นจะต้องมีตำแหน่งแห่งหน เพื่อให้ประชาชนที่เป็นฐานคะแนนรู้สึกว่ามีสถานะที่พึ่งพาได้
แต่กลับกลายเป็นว่า “ละอ่อนทางการเมือง” ทั้งหลาย กลับเริ่มคุ้นชินในอำนาจที่เคยมีจากรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ และยึดติดอำนาจนั้น กระทั่งแสดงท่าทีไม่เห็นหัวนักการเมืองที่จำเป็นต้องรักษาฐานประชาชน
ความวุ่นวาย ยุ่งยากจึงเกิดขึ้น
ท่าทีและคำขู่มากมายของ “นักการเมืองละอ่อน” แสดงต่อทั้ง “เพื่อนร่วมพรรค” และ “ต่างพรรค”
ทำท่าเห็นค่า เห็นอำนาจจาก “นักการเมืองที่ลากตั้งกันเข้า” มากกว่าผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
การนำพรรคแบบนี้
แม้จะอยู่ได้ยาว เพราะ “องค์กรอำนาจนอกสภา” หนุนหลัง
แต่ไม่มีทางอยู่ได้อย่างสงบ ในสภาวะต่างคนต่างซ่อนมีดไว้คนละเล่มสองเล่มเช่นนี้