การเมืองเรื่องจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งไม่เพียงแต่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ หากแม้กระทั่งภายในพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เว้น
กรณีภายในพรรคประชาธิปัตย์เห็นได้เสียงที่แตกต่างกันระ หว่าง 61 กับ 16
การลาออกจากสมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การลาออกจากสมาชิกภาพพรรคประชาธิปัตย์ของคนรุ่นใหม่ ในนามกลุ่ม New Dem
รวมถึงอย่างน้อยก็มี ส.ส.พรรคภูมิใจไทย 1 คนงดออกเสียง
อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยหากมองจาก 500 เสียงที่ขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ผลสะเทือนจะไม่หยุดเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการรับรองจาก 500 เสียง ในที่ประชุมรัฐสภา ข้อตกลงอันมีอยู่ในการเจรจาระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคการเมืองต่างๆก็จะได้รับการพิสูจน์
พิสูจน์ว่า “นโยบาย” ของแต่ละพรรคการเมืองจะได้รับการสนองมากน้อยเพียงใด
พิสูจน์ว่านโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ จะเป็นอย่างไร
พิสูจน์ว่าที่ว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นประเด็นใดจะได้รับความสำคัญมากที่สุด
พิสูจน์ว่าใครได้ตำแหน่งใด ระดับใด กระทรวงใด
ทั้งหมดนี้มิได้เป็นความรับผิดชอบของพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น หากแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย รวมถึง 250 ส.ว.ที่ขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะต้องร่วมกันรับผิดชอบ
เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในสายตาของประชาชนทั่วประเทศ
ดำรงอยู่ในสถานะอันเป็น “สัญญาประชาคม”
วันที่ 5 มิถุนายน จึงเป็นบาทก้าวที่ 2 ของการเมืองไทยหลังจากก้าวแรกคือการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม
ไม่ว่าคนที่เป็น “รัฐบาล” ไม่ว่าคนที่เป็น “ฝ่ายค้าน”
ความแจ่มชัดอย่างที่สุดก็คือ การปะทะระหว่างแต่ละฝ่ายจักดำเนินต่อไปด้วยความคึกคักและเข้มข้นในทางการเมืองบนเวทีรัฐสภาและในท่ามกลางการบริหารราชการแผ่นดิน
ระหว่างการเมือง” เก่า” กับการเมือง” ใหม่”