ปัญหาอันเกี่ยวกับการสรรหาและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาหรือ ส.ว.กำลังจะกลายเป็นด่านแรกในการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญในทาง การเมือง
1 ทดสอบมรดกอันต่อเนื่องมาจากรัฐบาลก่อนและ คสช.ซึ่งจะหมดอายุไปพร้อมกับการมาของรัฐบาลใหม่
เพราะเป็นเรื่องในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (เดิม)
ขณะเดียวกัน 1 เป็นการสำแดงฝีมือและความสามารถของฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคเพื่อไทยในการที่จะใช้พื้นที่ของรัฐสภาเป็น อาวุธในการต่อสู้
เหมือนกับเรื่องนี้คนที่ออกรับหน้าคือ นายวิษณุ เครืองาม แต่ความจริงเป็นเรื่องของพี่น้อง 3 ป.โดยตรง
เพราะหน้าเสื่อ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ความน่าสงสัยของเรื่องนี้อาจมีจุดเริ่มต้นจากการที่มีน้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ น้องชาย นายวิษณุ เครืองาม พี่ชาย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
เป็น 1 ในจำนวน 250 ส.ว.
จึงมีการถามถึงรายชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่ว่าที่มาจากรัฐบาล ไม่ว่าที่มาจาก คสช.
ปรากฏว่ายิ่งเพิ่มจุดอันน่าแคลงใจมากยิ่งขึ้น
เพราะไม่เพียงแต่เงารางๆ ของกรรมการสรรหาจะส่อสะท้อนว่ามีการสรรหาเอาจากพี่น้องและเครือญาติเท่านั้น หากยังเข้าข่ายการเลือกในแบบเกาหลังให้กันและกันอีกด้วย
เพราะ ส.ว.บางคนเช่น พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยา ซึ่งเป็น ส.ว.ก็สงสัยกันว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของกรรมการสรรหาด้วย
เข้าทำนองเลือกตนเองเข้ามาเป็น ส.ว. หรือไม่ก็ผลัดกันเสนอชื่อของกันและกันเข้ามา
นี่ย่อมอ่อนไหวต่อความโปร่งใสและธรรมาภิบาลอย่างยิ่ง
พลันที่มีการเสนอญัตติด่วน พลันที่ประธานบรรจุเข้าระเบียบวาระ นั่นหมายถึงเรื่องอันมากด้วยความลี้ลับในการสรรหา ส.ว.ก็จะต้องนำมาแผ่แบ
แผ่แบในที่ประชุมสภา แผ่แบและลงลึกในรายละเอียดมากยิ่งขึ้นหากมีการยกระดับไปสู่ขั้นคณะกรรมาธิการ
นี่คือด่านแรก ด่านสำคัญในการตรวจสอบและควบคุม