ไม่ว่าการออกมาโวยของพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ไม่ว่าการ ออกมาโวยของ ส.ส.ภาคอีสานตอนบนภายในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าการออกมาโวยของ”กลุ่มด้ามขวานทอง”
อาจเป็นมิติและแนวโน้มใหม่ทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพิ่งประสบ
ทั้งๆที่นี่คือความเป็นจริงภายใน”โควต้า ซิสเต็ม”
มิใช่ว่าจะมีแต่ นายดำรงค์ พิเดช เท่านั้นที่ผิดหวัง หากนาย เอกราช ช่างเหลา ก็หงุดหงิด
แม้กระทั่ง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งจองกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ตั้งแต่ยังเป็น”กลุ่มสามมิตร”ถึงขั้นเตรียมเช่าเฮลิคอปเตอร์ เพื่อตรวจราชการก็จำเป็นต้องกลืนเลือด
กลืนเลือดแล้วบ่ายหน้าไปอยู่กระทรวงยุติธรรมแทน
กระบวนการ”โควต้า ซิสเต็ม”ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะภายในพรรคพลังประชารัฐ หากแม้กระทั่งระหว่างพรรคที่เคยขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาด้วยกัน
ถามว่าในเมื่อน้องชายของ ร.อ.มนัส พรหมเผ่า ได้กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
แล้วจะไม่ให้ 13 ส.ส.จากภาคใต้ต้องเหล่ตามองดอกหรือ
ถามว่าในเมื่อกลุ่มนครราชสีมาได้โควต้ามา 1 แล้วกลุ่มขอนแก่นผนวกเข้ากับอุบลราชธานีซึ่งมีคะแนนกว่า 1 ล้านอยู่ในมือไม่เหล่ตามองดอกหรือ
นี่คือสภาพการณ์ทางการเมืองใหม่ที่มาพร้อมกับการเลือกตั้ง
ทำให้การจัดครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเดือนมิถุนายน 2562 แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เมื่อเป็น”โควต้า ซิสเต็ม”จึงจำเป็นต้องจัดครม.แบบ”กินแบ่ง” มิได้เป็น “กินรวบ”อีกต่อไปแล้ว
ยิ่งเมื่อการจัดครม.เสร็จสรรพเรียบร้อยถึงขั้นมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ยิ่งทำให้สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปจากที่ได้มาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เท่ากับเป็นการ”ปิดสวิตช์ คสช.”อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เคยลั่นวาจาเอาไว้
ไม่มีอำนาจของมาตรา 44 อยู่ในมือต่อไปอีกแล้ว