บ่อยครั้งที่ได้ยินชนชั้นนำหรือผู้นำในหลายระดับของไทยนิยมยกย่อง “จีน” ที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาประเทศและปราบปรามคอร์รัปชั่น ซึ่งถ้าเป็นสมัยแต่ก่อนจะถูกกล่าวหาว่าฝักใฝ่เลื่อมใสในคอมมิวนิสต์
ข้อหาคอมมิวนิสต์ยุคนี้ล้าสมัย ใช้สาดสีใส่ใครไม่ได้ผล เมื่อก่อรัฐประหาร ทหารมักจะเอา 2 เรื่องมาใช้เป็นเงื่อนไขคือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตาม ป.อาญามาตรา 112 กับ ทุจริตคอร์รัปชั่น
และเมื่อกล่าวถึง “คอร์รัปชั่น” ก็จะพุ่งเป้าไปที่นักการเมืองเท่านั้น ทั้งที่ความจริงการคอร์รัปชั่นมีอยู่ “อย่างเป็นระบบ” และมีอยู่ “อย่างกว้างขวาง” ในหน่วยราชการแทบทุกหน่วย ไม่เว้นวงการทหาร ตำรวจ การศึกษา สาธารณสุข การคมนาคม มหาดไทย กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ
มีหรือที่จิ้มลงไปตรงไหนแล้วหนองจะไม่ไหล !
การคอร์รัปชั่นดำรงอยู่อย่างฝังลึก ต่างกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้องตั้งแต่วันแรก จนถึงวันเกษียณ แต่บ่อยครั้งที่เล่นลิ้นโจมตีและชี้นิ้วไปยังนักการเมือง ซึ่งแม้จะเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
ทุกครั้งที่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือน จึงจงใจโยนความชั่วร้ายทั้งหมดไปให้กับนักการเมือง
ไม่มีใครสืบเสาะสาวไส้บิ๊กทหาร !
การรัฐประหารกับการกล่าวหานักการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่าทุจริตคอร์รัปชั่น จึงเป็นของคู่กัน
ชวนให้ขบคิดว่า จากรุ่นปู่ถึงรุ่นพ่อ จากรุ่นพ่อถึงรุ่นลูก ถึงรุ่นหลาน ล่วงผ่านมากว่า 70 ปี เหตุใดจึงยังมีคนจำนวนหนึ่งยัง “เชื่อ” วาทกรรมนั้น
มีแต่คนอื่นเท่านั้นหรือ ที่เลว และตัวเองดี
มีแต่พวกอื่นเท่านั้นหรือ ที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ทำลายสถาบัน เป็นภัยความมั่นคง ส่วนพวกตัวเองเสียสละมาคลี่คลายปัญหา ขจัดความเดือดร้อน และปกป้องสถาบัน
ข้ออ้างชุดนี้ใช้กันเพลินมาตั้งแต่รัฐประหารปี พ.ศ.2490, 2494, 2500, 2514, 2519, 2534, 2549 และ 2557
มารู้แจ้งเห็นจริงรู้เช่นเห็นชาติกันก็เมื่อ “ผู้นำรัฐประหาร” ทุกคนตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง หรือไม่ก็จะมีพรรคการเมืองตัวแทนสนับสนุนให้ได้ครองอำนาจต่อไป
ถ้าศึกษา “แผนประทุษกรรม” ย้อนหลังทั้งหมดก็จะเป็นที่ประจักษ์ว่า “เนื้อแท้” ของรัฐประหารก็แค่ปฏิบัติการช่วงชิง “อำนาจ” และ “ผลประโยชน์” ของผู้นำทหารกลุ่มหนึ่งกับพวกพ้อง
ในโลกนี้ไม่มีรัฐประหารเพื่อสังคม
คอร์รัปชั่นจึงยังคงอยู่ !?!!