“ชูศักดิ์” ชี้ ปมถือหุ้นสื่อ อันดับแรกต้องตีความให้ชัดก่อนว่าหมายถึงอะไร

“ชูศักดิ์” ชี้ ปมถือหุ้นสื่ออันดับแรกต้องตีความให้ชัดก่อนว่าหมายถึงอะไร บอก “เพื่อไทย” ไม่กังวล ส่วนกรณี “สมพงษ์” ตรวจสอบแล้ว เป็นบริษัทร้าง 40-50 ปี มาแล้ว

เมื่อเวลร 13.40 น. วันที่ 25 มิถุนายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการยื่นร้องส.ส.ปมถือหุ้นสื่อ ว่า ประเด็นแรกต้องตีความให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากกฎหมายเขียนว่า เป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน ความหมายของคำนี้หมายความว่าอย่างไร ตนตรวจสอบดูแล้วมีหลายวัตถุประสงค์ หลายบริษัท และหลายคนที่มีการร้องเรียนไปเขียนว่าประกอบกิจการโฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ คำถามคือถ้าเขียนอย่างนี้ถือว่าเป็นการประกอบกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ โดยส่วนตนตนคิดว่าไม่ใช่เพราะบางคนค้าขายสิ่งพิมพ์ ซึ่งก็ไม่ใช่คนทำสื่อ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องตีความคำเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร ประเด็นต่อมาคือ ต้องถามว่า หากตีความว่าใช่ แล้วท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะยึดบรรทัดฐานแบบศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งหรือไม่ เพราะศาลฎีกาฯระบุว่า แม้ไม่ได้ประกอบกิจการเขียนไว้ในวัตถุประสงค์ของบริษัทเท่านั้น ไม่ได้ประกอบกิจการก็ต้องห้าม ปัญหาคือท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องยึดถือตามที่ศาลฎีกาจังหวัดสกลนครหรือไม่ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะเอาอย่างไร ประเด็นสุดท้ายคือ หากศาลเห็นว่าเข้าข่ายแล้ว จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งดูจากรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนอ่านไปอ่านมาเหมือนตีความได้ว่า ถ้ารับมาพิจารณาแล้วก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

นาชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับพรรคพท. ได้ตรวจดูแล้วหลายครั้งหลายหน เป็นบริษัทร้าง ไม่ได้ประกอบกิจการ หรือเลิกกิจการมาแล้ว หรือเป็นการเขียนวัตถุประสงค์ไว้กว้างๆ ซึ่งไม่อาจจะตีความได้ว่าเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน เพราะการเขียนวัตุประสงค์ไม่ได้หมายความว่าจะประกอบกิจการสื่อได้เลย ซึ่งเราไม่ได้วิตกกังวลอะไร

เมื่อถามถึงถึงกรณีนายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพท. ที่ถูกร้องในประเด็นการถือหุ้นสื่อด้วยเช่นกัน นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ท่านเคยถือหุ้นอยู่ในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเราได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นบริษัทร้าง เลิกกิจการแล้ว และดูจากคำร้องคล้ายกับว่ามีบริษัทอื่นๆอีก คำถามคือ จะถือว่าเขียนไว้แบบนี้ จะถือว่าเข้าข่ายในประเด็นดังกล่าวหรือไม่ แต่ตนดูแล้วว่าท่านไม่ได้ประกอบกิจกานแน่เพราะผ่านมา 40-50 ปีแล้ว

Advertisement

เมื่อถามว่า คำตัดสินของศาลฎีกา ไม่ผูกพันกับศาลรัฐธรรมนูญ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้อง
กันอย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะระบบของบ้านเราเป็นคนละช่องทาง ศาลฎีการแผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาช่วงก่อนการเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง และที่สำคัญคือเขียนไว้ว่า วินิจฉยอะไรออกมาผูกพันทุกองค์กร ในท้ายที่สุดหากเรื่องนี้ถูกรับไว้พิจารณาศาลรัฐธรรมนูญจะคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลฎีกามากน้องเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image