‘ปิยบุตร’ ซัด แผนปฎิรูปฯยุคคสช.ไม่เห็นหัวประชาชน ขรก.เหนือ รบ.เลือกตั้ง เกิดรัฐซ้อนรัฐ

“ปิยบุตร” ซัด การปฏิรูปยุค คสช.ไม่เห็นหัวประชาชน ไร้ปฏิรูป “กองทัพ-ศาล-หัวหน้า คสช.” ชี้ ทำเกิด “รัฐซ้อนรัฐ” รบ.เลือกตั้งอำนาจน้อย รมต.เป็นเพียง “ซูเปอร์ปลัด” แค่ติดตามงาน ริเริ่มสร้างสรรค์ไม่ได้ เหน็บ ผลลัพธ์แผนปฏิรูป ได้กองกระดาษ-คนหน้าเดิมรับเบี้ยประชุม พร้อมปลุก ส.ส.ปกป้องศักดิ์ศรี อย่าปล่อยพวกแปลกปลอมมาขี่คอ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 มิถุนายน ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อภิปรายสรุปในสภา เรื่องแผนปฏิรูปและรายงานความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ ว่า เป็นที่น่าเสียดาย ที่ 3 หน่วยงาน ซึ่งมีความจำเป็นต้องถูกปฏิรูป เพราะถูกตั้งคำถามจากประชาชนและสื่อมวลชนมาตลอดหลายปี แต่กลับไม่ปรากฏอยู่ในแผนปฏิรูป หน่วยงานแรกคือ กองทัพ ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องแผ่นดินและประเทศ แต่ปรากฏว่ากองทัพไทยกลับทำหน้าที่ก่อรัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น จะทำอย่างไรเพื่อปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ทำหน้าที่ของตัวเอง มิใช่ทำหน้าที่รัฐประหารทุก 4-6 ปี ส่วนหน่วยงานที่ 2 คือศาล ซึ่งถูกตั้งคำถามมาตลอด 13 ปี ถึงกระบวนการยุติธรรมและมาตรฐานในการตัดสิน และสุดท้ายที่ควรจะถูกปฏิรูปที่สุด แต่บังเอิญบุคคลนี้เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นหัวโต๊ะของการปฏิรูป นั่นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

นายปิยบุตรกล่าวว่า รายงานความคืบหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ มีลักษณะ 3 ข้อ คือ 1.แผนการปฏิรูปทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ซูเปอร์รัฐบาล” หรือ “รัฐซ้อนรัฐ” รัฐหนึ่งคือรัฐปกติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มีอำนาจน้อยมากและถูกลิดรอนลงไปเรื่อยๆ เพราะถูกอีกรัฐซ้อนขึ้นมา คือรัฐที่มี คสช. คณะรัฐประหาร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และกองทัพ ถือเป็นกระบวนการแปลงรัฐปกติให้กลายเป็นรัฐทหารมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ พล.อ.ประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะ และมีนายทหารจำนวนมากนั่งอยู่ด้วย แล้วก็มีคณะกรรมการปฏิรูปชุดต่างๆตามมา พวกเขาเหล่านี้มากำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หากหัวโต๊ะของรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นคนเดียวกันกับหัวโต๊ะของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ก็คงไปได้ดี แต่ถ้าบังเอิญเป็นคนละฝ่าย ก็จะเกิดปัญหาทันที ทำให้คณะรัฐมนตรีกลายเป็นคนที่ไม่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์อะไรได้เลย สิ่งที่นำไปหาเสียงอาจไม่ได้นำมาใช้ถ้าไม่สอดคล้องกับแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ ทำให้รัฐมนตรีกลายเป็นเพียง “ซูเปอร์ปลัด” มีหน้าที่เพียงคอยติดตามงานว่าแผนปฏิรูปไปถึงไหนแล้ว ถูกลดทอนคุณค่าจากผู้บริหารประเทศ หลายเป็นคนติดตามงาน และนักการเมืองจะเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเพียงเพื่อมีโอกาสใช้งบประมาณ แต่ไม่ได้คิดเรื่องนโยบาย

นายปิยบุตรกล่าวว่า ลักษณะที่ 2 แผนปฏิรูปคือการสร้างอุตสาหกรรมปฏิรูป เมื่อมีรัฐประหารเกิดขึ้น จะตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งและหน่วยงานอื่นๆ เต็มไปหมด มีการประชุมและจ่ายเงินเดือนและเบี้ยประชุม หลังจากนั้น รายงานจะออกมาเป็นปึกๆ และบอกให้ไปออกกฎหมาย เอางบไปใช้ ผลลัพธ์คือทำรายงาน วนเวียนอยู่แค่นี้ อุตสาหกรรมของการปฏิรูปได้ผลผลิตคือกองกระดาษ และมีแต่คนหน้าเดิมในแวดวงนี้ เป็นพวกเทคโนแครต ข้าราชการประจำ ประชาชนบางกลุ่มที่สนับสนุนรัฐประหาร และสุดท้าย ลักษณะที่ 3 คือแผนปฏิรูปทำให้วุฒิสภาขี่คอสภาผู้แทนราษฎร หลักฐานอยู่ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 270 ซึ่งบอกว่ารายงานความคืบหน้าการปฏิรูป ให้นำมารายงานต่อสภาทุก 3 เดือน แต่ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งขอ คสช.กลับมีอำนาจติดตามเสนอแนะและเร่งรัด ขณะที่ ส.ส.ทำได้เพียงอภิปราย แล้ว 3 เดือนหน้าพบกันใหม่ นอกจากนั้น บรรดากฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูป จะใช้กระบวนการนิติบัญญัติแบบพิเศษ จากปกติต้องเริ่มที่สภาผู้แทนฯ ก่อนไปวุฒิสภา และอำนาจชี้ขาดอยู่ที่สภาผู้แทนฯ แต่ถ้าเป็นช่องพิเศษ เราต้องเสนอในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งต้องถามว่า ส.ว.ชุดนี้คือใคร ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วในวันที่ 5 มิถุนายน ที่ 249 คนโหวตเป็นแถวเดียวกัน เท่านั้นยังไม่พอ เกิดมี ส.ส.หรือ ส.ว.จำนวนหนึ่งสงสัยว่ากฎหมายใดๆ เป็นการปฏิรูปหรือไม่ เข้าชื่อถึงประธานรัฐสภาว่ากฎหมายนั้นต้องเข้ากระบวนการนิติบัญญัติแบบพิเศษ ประธานรัฐสภาก็ต้องตั้งกรรมาธิการพิจารณาร่วมกัน ซึ่งประธาน กมธ.ชุดนั้นคือประธานวุฒิสภา

Advertisement

“การปฏิรูปประเทศไทยแยกไม่ออกจากการรัฐประหาร การปฏิรูปครั้งนี้เป็นผลพวงของรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ทุกวันนี้ สภาผู้แทนฯที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน กำลังถูกลิดรอนอำนาจ เราถูกดูถูกตลอดเวลาว่าเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง เวลารัฐประหารก็โทษนักการเมืองทุกครั้ง โดยที่คณะรัฐประหารลืมส่องกระจกมองตัวเอง พอยึดอำนาจเข้ามาแล้ว ก็อ้างปฏิรูปประเทศและลดอำนาจของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง ดังนั้น สิ่งที่อยากวิงวอน ส.ส.ด้วยกันคือ พวกเรามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องผนึกกำลังป้องกันไม่ให้องค์กรแปลกปลอมพวกนี้เข้ามาลดอำนาจของพวกเรา มิใช่เปิดประตูให้เขาเข้ามาขยับแดนอำนาจ” นายปิยบุตรกล่าว

นายปิยบุตรกล่าวว่า คำว่าปฏิรูปของประเทศไทย เป็นเพียงข้ออ้างของการรัฐประหารทุกครั้ง เป็นเครื่องมือในการครองอำนาจและเป็นกลไกสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารที่อยากอยู่ต่อไปเรื่อยๆ และที่สำคัญ เป็นการนำเอาระบอบรัฐประหารมาฝังตัวอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้รัฐประหารเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเสมอชั่วกัลปาวสาน นี่คือการปฏิรูปที่เกิดขึ้นในยุค คสช. เป็นการปฏิรูปที่ไม่เห็นหัวประชาชน วนเวียนอยู่กับคนหน้าเดิม ด้วยเหตุนี้ อยากเชิญชวน ส.ส. ว่าเราเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐเพียงองค์กรเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเราสามารถปฏิรูปกันได้ในระบบ ไม่จำเป็นต้องอาศัยรัฐประหาร รัฐราชการ และ ส.ว.จากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image