ไม่ว่าท่วงทำนองของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าท่วงทำนองของ นายอนุชา นาคาศัย ต่อประเด็นการทวงถามการจัดโผครม. ของพรรคพลังประชารัฐ
น่าศึกษา น่าวิเคราะห์
1 ให้การยกย่องความเป็นผู้นำ ความเป็นชายชาติทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
1 พุ่งปลายหอกไปยัง 2 เป้าใหญ่ในทางการเมือง เป้าแรกเป็นบางกลุ่มบางฝ่ายภายในพรรคพลังประชารัฐที่คอยบ่อนเซาะ และแซะกลุ่มสามมิตรอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
เป้าต่อมาเป็นพรรคชาติพัฒนาที่เมื่อนำ 3 เสียงเข้ามาก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโผ ครม.อย่างใหญ่หลวง
นี่คือการเสนอโจทย์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นชายชาติทหารที่ได้รับการบ่มเพาะมาจาก HONOR SYSTEM หรือที่เรียกว่า ระบบเกียรติศักดิ์ ของสุภาพบุรุษ จปร.
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ผ่านการพิสูจน์
ไม่ว่าจะโดยตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ไม่ว่าจะโดยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันมาจากการใช้กำลังยึดอำนาจเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557
จากเดือนพฤษภาคม 2557 มาจนถึง ณ วันนี้ ความโดดเด่น ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ การใช้ศักย์การนำทางทหารในการบริหารจัดการบ้านเมือง
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่านับแต่ผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เผชิญประสบกับสภาวการณ์ใหม่
เป็นสภาวการณ์ในทางการเมืองซึ่งไม่แน่ว่าจะใช้อำนาจพิเศษในแบบทหารมาจัดการได้ ตัวอย่างก็คือ กรณีของกลุ่มสามมิตร กรณีกลุ่มมุ้งภายในพรรคพลังประชารัฐ
เพราะพรรคพลังประชารัฐมิใช่กองทัพหากเป็นพรรค
หากมองจากความจัดเจนโดยพื้นฐานทางการเมือง อาการอย่างที่แสดงออกผ่าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายอนุชา นาคาศัย เท่ากับพรรคพลังประชารัฐแตกแล้วเป็นเสี่ยงๆ
ปัจจัยสำคัญคือ 1 ความขัดแย้งภายในแต่ละกลุ่ม และ 1 คือการมีกำลังพลกว่า 30 ส.ส.อยู่ในมือ
กว่า 30 ส.ส.นี่แหละคืออาวุธของ “กลุ่มสามมิตร”