ปัญหาอันเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปในการจัดครม.ขณะนี้เป็นปัญหาของพรรคพลังประชารัฐเต็ม-เต็ม
และอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อาจมีองค์ประกอบอื่นอย่างเช่น กลุ่มกปปส. หรือกลุ่มสามมิตร เข้าไปมีส่วนอยู่บ้าง แต่ในที่สุดแล้วก็เป็นปัญหาของพรรคพลังประชารัฐ
เป็นปัญหาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องแก้ไข
อาจสามารถตำหนิว่าเป็นความสืบเนื่องจาก กปปส.ได้ อาจสามารถตำหนิว่าเป็นความสืบเนื่องจากกลุ่มสามมิตร อันเป็นองค์ ประกอบอื่นก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
แต่ที่สุดแล้วปัญหาอันยุ่งเหยิงก็เป็นปัญหาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเข้าไปแบกรับ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
หากศึกษากระบวนการก่อรูปของพรรคพลังประชารัฐนับแต่เดือนเมษายน 2561 เป็นต้นมา
1 มีการเรียกนักการเมืองบางฝ่ายเข้าทำเนียบรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็น นายสกลธี ภัททิยกุล ไม่ว่าจะเป็น นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ไม่ว่าจะเป็น นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ
นี่คือแกนนำกปปส.และมีฐานอยู่ในกทม.
ขณะเดียวกัน 1 มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มทางการเมืองที่เรียกตนเองว่า “กลุ่มสามมิตร”
ภาพที่เด่นชัดคือการเดินสายของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน โดยต่อสายเข้าไปอีก 1 ส.ในทำเนียบรัฐ บาลอันเป็นที่มาของ “3 ส.”
และเมื่อกลุ่มกปปส.กับกลุ่มสามมิตรตั้งไข่ได้ระดับหนึ่ง 1 ส.ที่อยู่ในท่ำเนียบรัฐบาลก็ส่ง “4 กุมาร”ออกไป
นั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค โดยมีกลุ่มกปปส.และกลุ่มสามมิตรเป็นฐาน
ทั้งหมดนี้มีหรือที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่รู้
คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำเอาบทเรียนจากการต่อสายและก่อ”นั่งร้าน”ทางการเมืองนับแต่เดือนเมษายน 2561 ออกมาเป็นประโยชน์แค่ไหน
ก่อนอื่นต้องให้บทบาทกับ 1 ส.ที่สงบในทำเนียบรัฐบาล
เพราะสามารถต่อสายกับกปปส.และเชื่อมเข้ากับความเป็น จริงแห่ง”สามมิตร”ได้ครบถ้วน
คำถามอยู่ที่ว่าจะเปิดโอกาสให้ 1 ส.ได้มากน้อยเพียงใด