การถอยร่น ของ กลุ่มสามมิตร เบื้องหน้า การรุกของ ประยุทธ์
การสัประยุทธ์ ในสมรภูมิแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงานของกลุ่มสามมิตรที่นำโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จบลงอย่างรวดเร็ว
ไม่มีใครคิดว่าที่จบลงได้เพราะบารมีของหัวหน้าพรรค นายอุตตม สาวนายน
หากจบลงด้วย “สารจากนายกรัฐมนตรี”
จบลงบนพื้นฐานที่ นายอุตตม สาวนายน สรุป “ยังไม่มีข้อมูล ที่แท้จริงว่าการจัดตั้งครม.ใครอยู่ตรงไหน ที่ได้ยินเป็นการคาดการณ์คาดเดากันไป เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะดูแลในส่วนของพรรคพลังประชารัฐได้อย่างแน่นอน”
ตรงนี้ต่างหากคือคำตอบ ตรงนี้ต่างหากคือความเป็นจริง
แม้แกนนำหลายคนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็น นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่าจะเป็น นายวิรัช รัตนเศรษฐ จะออกมายอมรับในความเป็นปกติของความขัดแย้ง
แต่จากสถานการณ์อันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วก็สะท้อนให้เห็นว่า
อำนาจแท้จริงมิได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือกลุ่มที่อ้างว่ามี 31 ส.ส.อยู่ในมือ หากแต่เป็นอำนาจจากภายนอกพรรค
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็สะท้อนรูปธรรมความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ภายในพรรค
นั่นก็คือ ไม่เพียงแต่จะมีกลุ่มสามมิตร หากแต่ยังมีกลุ่มด้าม ขวานไทย หากแต่ยังมีกลุ่มอีสานตอนบน หากแต่ยังมีกลุ่มพลังชล หากแต่ยังมีกลุ่มภาคเหนือตอนบน หากแต่ยังมีกลุ่มกทม.ที่เคยแนบแน่นอยู่กับกปปส.
นั่นก็คือการประกอบส่วนขึ้นเป็น “พลังประชารัฐ”
ถ้าประเมินว่า ปฏิกิริยาอันมาจากกลุ่มสามมิตรถือเป็นการวัดพลัง ในทางการเมือง เกมนี้ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็จบลงอย่างไม่สะสวยเท่าใดนัก
ยิ่งเมื่อมองจากภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วของกลุ่มสามมิตร การถอยร่นครั้งนี้ยิ่งทำให้ต้องเสียรังวัดมากยิ่งขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน ศึกครั้งนี้ก็ยืนยันว่าอำนาจแท้จริงในพรรคพลังประชารัฐเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเด่นชัดยิ่ง