นับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมเป็นต้นมา แวดวงการเมืองอันประกอบด้วยพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่มี ส.ส.ในสังกัดได้มีปฏิกิริยาต่อกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยเบื้องต้นพรรคการเมืองแบ่งเป็น 2 ขั้ว คือขั้วเพื่อไทย และขั้วพลังประชารัฐ หลังจากนั้นขั้วเพื่อไทยเริ่มยอมรับบทบาทฝ่ายค้าน ขณะที่ขั้วพลังประชารัฐมีการต่อโควต้ากระทรวงและตำแหน่งรัฐมนตรี มีเสียงโวยวายออกมาเป็นระยะทั้งจากคนที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี และคนที่ไม่ได้รัฐมนตรีตามที่แกนนำเคยให้สัญญาไว้ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่กลุ่ม 3 มิตรแถลงข่าวประกาศจุดยืนก่อนที่จะพลิกผันไปในวันรุ่งขึ้น
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาเป็นปฏิกิริยาระหว่างพรรคการเมืองต่อพรรคการเมืองแต่นับตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม จะปรากฏเหตุการณ์ที่พรรคการเมืองมีปฏิกิริยาต่อประชาชน หรืออาจจะทำให้ประชาชนมีปฏิกิริยาต่อรัฐบาลและพรรคการเมือง เพราะกระบวนการร่างนโยบายรัฐบาลใหม่เริ่มต้นขึ้น ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้ส่งนโยบายของแต่ละพรรคมาที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐจะเตรียมรวบรวมนโยบายทั้งหมดเพื่อเขียนเป็นร่างนโยบายรัฐบาล โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม โดยเชิญตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือถึงการร่างนโยบายด้วย
นายกอบศักดิ์กำหนดกรอบนโยบายที่ทำทันทีคือ 1.นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3.นโยบายมารดาประชารัฐ ส่วนนโยบายที่มีแนวโน้มว่าจะต้องพูดคุยกันอย่างหนักคือนโยบายเรื่องการเกษตร สำหรับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท เป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐใช้หาเสียงและยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน เพราะการขยับขึ้น 400-425 บาทในทีเดียวจะมีผลกระทบต่อภาคเอกชน จึงจะเสนอให้ขึ้นเป็นขั้นบันได
นโยบายของรัฐบาลนี้เป็นคำมั่นสัญญาที่พรรคการเมืองแต่ละพรรครับปากกับประชาชนไว้ ดังนั้น นโยบายใดที่พรรคหาเสียงแล้วมีในนโยบายรัฐบาล หรือนโยบายใดที่พรรคหาเสียงแล้วแต่ไม่มีในนโยบายรัฐบาล ทุกพรรคร่วมรัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชนได้ เพราะทุกอย่างคือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ไม่ได้เป็นคำสัญญาระหว่างบุคคลที่ไม่มีใครรู้เห็นเหมือนกับตอนตั้งรัฐบาล แต่เป็นคำสัญญาที่พรรคเปิดเผยโจ่งแจ้ง และให้สัญญากับประชาชนไว้ ซึ่งถือว่าเป็นคำสัญญาที่รัฐบาลมิอาจฉีกทิ้งไปได้ เพราะประชาชนพร้อมที่จะทวงสัญญาที่พรรคการเมืองต่างๆ เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
