แรพกันสนั่นเมือง! ต้อม ยุทธเลิศ ลั่นความคิดขังไม่ได้ ชวนใช้ศิลปะสู้ความกลัว-เผด็จการ

แรพสนั่น ศิลปะไร้ขอบเขต ต้อม ยุทธเลิศ ชวนสวมหน้ากากต้านอำนาจ ชี้ ‘ไม่ลงถนนก็กลัวแล้ว’

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ The Jam Factory เจริญนคร กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Headache spencil ร่วมกับ Rap Against Dictatorship จัดเทศกาลศิลปะไร้ขอบเขต เพื่อแสดงจุดยืนถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนโดยไม่ถูกปิดกั้น ภายในงานมีการแสดงศิลปะหลายรูปแบบจากหลากหลายศิลปินรอบบริเวณ และดนตรีแนวฮิปฮอปจากศิลปินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Art Therapy เป็นการบำบัดจิตใจจากความเครียดทางการเมืองด้วยศิลปะ โดยผู้เชี่ยวชาญจากนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตลอดการจัดงานมีผู้เข้าร่วมชมไม่ขาดสาย โดยส่วนมากเป็นวัยรุ่น วัยกลางคน และชาวต่างชาติ

เมื่อเวลา 16.00 น. มีการแสดงดนตรีโดยศิลปินแรพ อาทิ Liberate P, Hockhacker,Jakoboi ฯลฯ และปิดท้ายด้วยกลุ่ม Rap Against Dictatorship หรือ RAD ขึ้นร้องเพลงประเทศกูมี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ร่วมงานต่างร่วมส่งเสียงและโยกหัวตามดนตรีอย่างคึกคัก

จากนั้นเวลา 18.30 น. นายยุทธเลิศ สิปปภาค หรือ ต้อม ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ขึ้นกล่าวปิดงาน

Advertisement

นายยุทธเลิศกล่าวว่า เราอยู่ในประเทศที่ขยับอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นในสื่อไม่ใช่สิ่งที่เด็กรุ่นใหม่คิด เด็กรุ่นใหม่โดนล้างสมองหรือไม่ตนพูดแทนไม่ได้ จึงถามลูกสาวอายุ 11 ขวบ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดในประเทศนี้ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คืออิสระทางความคิด เพราะถึงแม้กายจะถูกขังคุก แต่ความคิดไม่มีใครขังได้ การปกครองตอนนี้พยายามจะบอกกับทุกคนว่าคิดแบบนี้ไม่ถูก คิดแบบนี้ไม่ได้

“ผมไม่ได้จะพูดเรื่องการเมือง แต่พูดเรื่องศิลปะ กลุ่มคนที่มีความคิดนอกกรอบหรือคิดสร้างสรรค์
มักจะถูกจัดการก่อนเป็นกลุ่มแรก ในประเทศเรามีการเรียนศิลปะแค่ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทั้งที่ศิลปะอยู่กับเราตลอดเวลา คนเรียนศิลปะไม่ได้หมายความถึงคนที่วาดรูปเก่ง และศิลปะไม่ใช่แค่การวาดภาพหรือเล่นดนตรี แต่ศิลปะคือความเป็นมนุษย์ หมายรวมถึงจินตนาการที่มนุษย์พึงมี ปัญหาคือเราอยู่ในระบอบที่กดส่วนนี้เอาไว้จนทำให้คนกลัวที่จะแสดงออก ทั้งที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่เกิดมามีตัวตน และมีความคิดเป็นของตัวเอง”

นายยุทธเลิศกล่าวว่า เรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือกระบวนการทางความคิดต้องต่อสู้ ซึ่งง่ายมากเพียงแสดงตน แต่การปกครองขณะนี้แค่แสดงตนก็ทำไม่ได้เพราะจะโดนประจาน มีการดำเนินการที่เป็นแพทเทิร์นที่เห็นความเป็นความตายในประเทศนี้เล็กน้อยกว่าเรื่องปากท้อง ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่เชื่อแบบนั้น หลายอย่างเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ออกมาพูดก็ไม่รู้จะได้พูดตอนไหน ว่า กกต. ไม่โปร่งใส ที่สำคัญไม่มีใครเอาผิดได้ สิ่งนี้เราไม่ควรจะยอมให้เกิดขึ้น อย่าบอกว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับเรา เพราะเกี่ยวกับเราทุกเรื่อง มีคนพยายามจะบอกว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง ซึ่งไม่ได้ เพราะถึงเราไม่ยุ่งกับการเมืองแต่การเมืองยุ่งกับเรา ดังนั้นทุกคนต้องยุ่งกับการเมือง ไม่ใช่แค่เลือกตั้ง แต่ต้องตามต่อว่าใครทำอะไร

Advertisement

“วิธีการต่อสู้ที่ไม่เสียเลือดเนื้อ ในฐานะคนที่ใช้สมอง เราจะใช้ศิลปะในการต่อสู้ เพราะเชื่อว่าศิลปะอยู่กับเรา คือความเป็นอิสระ แต่ถูกพรากไป ไม่มีอิสระในการเข้าถึงที่ทำกิน เข้าถึงการศึกษา ใครคุมอยู่ เข้ามา กทม.ผ่านมา 30 ปีรถเมล์ยังคันเดิม แต่เรือดำน้ำมาใหม่ตลอด เราไม่ทีทางจะต่อสู้กับผู้ที่คุมกฎทุกอย่างได้ สิ่งที่ควรจะสู้คือสู้กับตัวเอง ถ้าเรารู้สึกว่าไม่มีอิสระ ก็ทำให้มี คือ คิดอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน” นายยุทธเลิศกล่าว และว่า

อิสระในความคิด ต่อให้วาดรูปเก่งแต่ถ้ายังคิดว่าเผด็จการเป็นสิ่งที่ดีก็ไม่ใช่ศิลปะ เพราะศิลปะไม่น่าจะเกิดจากความกลัวที่ถูกกดไว้ แต่ศิลปะคือการสร้างสรรค์ที่สวยงาม ดนตรีไม่เคยทำให้เกิดสงคราม มีแต่ปืนและอำนาจเท่านั้น แม้เราชนะเผด็จการไม่ได้ แต่เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ การปกครองคนด้วยความกลัว โซเชียลจะเซฟเรา แต่ก่อนทำรัฐประหารต้องยึดสื่อ แต่ตอนนี้ต้องยึดมือถือทุกคนซึ่งทำไม่ได้ ปริมาณข่าวจริงมีมากกว่า เป็นโอกาสที่ดีในการแสดงตนว่าเขาทำสิ่งที่ไม่ใช่ เป็นการแสดงตัวต่อต้านว่า เราคือศิลปิน แม้ว่ารูปไม่เก่ง แต่เราเป็นศิลปินเพราะมีอิสระทางความคิด ที่ไม่มีวันจะสามารถพรากไปได้

“ผมเป็นผู้กำกับหนัง ผมเขียนสคริปต์ของการแสดงตนต่อต้านเผด็จการแบบตลอดชีวิต เราจะต่อต้านระบบนี้โดยที่ไม่มีวันแพ้ในระยะยาว เผด็จการมีจุดจบ แต่การต่อต้านของเราไม่มีจุดจบ จนตัวตาย การแสดงอิสระทางความคิดแบบนี้ คือการไม่ยอมพ่ายแพ้  ผมไม่วาดรูป ไม่เล่นดนตรี แต่จะทำงานจัดวาง (human installation) โดยใช้มนุษย์ ไม่ใช่จัดวางตำแหน่ง นี่คืองานทดลองการจัดวางความคิด ให้คนคิดแบบนี้ คิดง่ายๆคือ เราไม่มีวันแพ้ ถ้าสู้ทั้งชีวิต”

โดยนายยุทธเลิศระบุว่า การแสดงออกทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่จะไม่มีผล จึงต้องการปลูกฝังความคิด และชักชวนให้ร่วมแสดงออก โดยนายยุทธเลิศได้หยิบหน้ากากสีดำขึ้นมาสวมระหว่างกล่าว ผู้ร่วมงานต่างหยิบหน้ากากสีดำขึ้นมาสวมใส่ตามคำชักชวน พร้อมชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นการแสดงออกร่วมกัน

นายยุทธเลิศยังกล่าวอีกว่า ใครก็ได้ที่มีความคิดแบบนี้ คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก ถ้าจะอยู่ต้องอยู่ด้วยเรื่อง Right and wrong ไม่ใช่ Right and left ขอให้ร่วมกันใสหน้ากาก โพสต์ภาพและติดแฮชแทก #NMG movement

“ถ้ามีคนเอากับผม ปรากฏการณ์นี้จะทรงพลังที่สุด เป็นความคิดรูปแบบเดียวกัน ยืนอยู่บนความถูกต้อง และกล้าหาญที่จะบอกว่าสิ่งไหนผิด แค่ยืนใส่หน้ากาก ก็บ่งบอกแล้วว่า ประเทศไทยศิลปินยังมีอยู่ ศิลปินเป็นตัวจุดประกาย สิ่งที่ทุกคนทำเป็นตัวจุดประกาย แค่ยืนเฉยๆ ไม่ต้องลงถนนก็กลัวแล้ว” นายยุทธเลิศกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image