ปมอันเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็น “วาระ” ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐของพรรคประชาธิปัตย์มากด้วยความอ่อนไหวอยู่แล้ว
แต่ปม “กระจายอำนาจ” ยิ่งลึกซึ้ง
ปมกระจายอำนาจก็อีหรอบเดียวกันกับปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะทุกพรรคการเมืองล้วนชูเรื่องการกระจาย
อำนาจทั้งสิ้น
ลองไปดูของ “พรรคพลังท้องถิ่นไท” ก็จะเห็น
ทั้งนี้ ไม่ต้องดูของพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่ครั้งหนึ่ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยชูเรื่องการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการจังหวัดในห้วงแห่งการ “ชัตดาวน์”
แล้วจะเขียน “นโยบาย” ออกมาอย่างไร
หรือจะอธิบายในแบบที่ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล พยายามแก้ต่างในเรื่องอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวันว่ามิได้เป็นเรื่องเร่งด่วน
ตรงนี้แหละที่จะเป็น “สายล่อฟ้า” ในทางการเมือง
การเมืองยุคก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อาจไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ “นโยบาย” เท่าใดนักเพราะหาเสียงก็อย่างหนึ่ง เป็นรัฐบาลก็อย่างหนึ่ง
แต่แล้วก็มีการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544
การเลือกตั้งอันมาพร้อมกับชัยชนะอย่างท่วมท้นถล่มทลายของพรรคไทยรักไทยนี้เองที่ได้สร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่
นั่นก็คือ การนำ “นโยบาย” มา “ปฏิบัติ”
ไม่ว่ากองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ไม่ว่าพักหนี้เกษตรกร ไม่ว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหาเสียงไว้อย่างไรก็ปรากฏผ่านนโยบาย
ที่สำคัญก็คือ ทำ “นามธรรม” ให้เป็น “รูปธรรม” ได้
นี่คือประเพณีทางการเมืองอย่างใหม่อันมาจากพรรคไทยรักไทย ส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยก็ได้ชัยชนะ
ชนะแม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐของ “คสช.”
รากฐานที่พรรคเพื่อไทยได้มาจากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ถือได้ว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว
ยิ่งได้พรรคอนาคตใหม่มาเป็น “พันธมิตร”
ผนึกเข้ากับพรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย
ยิ่งทำให้ 7 พรรคฝ่ายค้านแข็งแกร่ง
นั่นหมายถึงพลานุภาพในการตรวจสอบจังหวะก้าวของ 18 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลได้อย่างชนิดทุกกระเบียดนิ้ว
ทั้งระหว่าง “หาเสียง” และที่บันทึกอยู่ใน “คลาวด์”
การตรวจสอบต่อการเมืองในห้วงภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 จึงดุเดือด เข้มข้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
และตอนนี้ก็โฟกัสไปยัง “นโยบาย”
หากผ่านกระบวนการอภิปรายในห้วงแห่งการเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ในห้วงแห่งการพิจารณารายงานในเรื่องการปฏิรูปมาแล้ว
ย่อมสัมผัสได้ถึงความเข้มข้น
พรรคฝ่ายค้านสามารถนำเสนอเนื้อหาการอภิปรายทะลุทะลวงและแปรเวทีรัฐสภาให้กลายเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทุกลมหายใจเข้าออก
กรณีของ “นโยบาย” นี่ก็จะมากด้วยความร้อนแรงเช่นกัน