ไม่ว่ากรณีของ นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่ากรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มากด้วยความละเอียด มากด้วยความน่าเห็นใจในชะตากรรมที่ประสบ
ละเอียดอ่อนเพราะว่าสัมพันธ์กับตำแหน่ง “รัฐมนตรี”
น่าเห็นใจเพราะว่าข้อกล่าวหาต่อ นายอุตตม สาวนายน และ ข้อกล่าวหาต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเรื่องอยู่ใน “เทศะ” อันล่อแหลม
หากนายอุตตม สาวนายน ไม่ได้เป็น “บอร์ด” กรุงไทยก็ไม่ข้อครหา
หาก ร.อ.ธรมนัส พรหมเผ่า ไม่ได้ไปอยู่ในสถานที่เกิดเหตุซึ่งมีการจับกุมการนำเข้า”เฮโรอีน” ก็คงไม่ต้องถูกจำขัง ณ คุก
ตรงนี้ต่างหากคือตัวทุกข์ ตรงนี้ต่างหากคือตัวปัญหา
ปัญหาอันเป็นสาระสำคัญอยู่ตรงที่ในบรรดาบุคคลที่เป็น “บอร์ด” และลงชื่อร่วมกับ นายอุตตม สาวนายน ในการอนุมัติเงินกู้จำนวน 6,000 กว่าล้าน
จำนวนข้างมากล้วนต้องโทษ ติดคุกติดตะราง
ความน่าสงสัย เคลือบแคลง อยู่ตรงที่เหตุใด นายอุตตม สาวนายน จึงรอดทั้งๆที่มีลายเซ็นปรากฏร่วมในการประชุมเพื่ออนุมัติเงินกู้จำนวนนั้น
ปัญหาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาจมีรายละเอียดแตกต่างไปบ้าง แต่ข้อสังเกตอันเกิดขึ้นไม่เพียงแต่คำถามที่ว่าทำไมต้องอยู่ในสถานการณ์การจับกุมการนำเข้ายาเสพติด
หากที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งอยู่ที่การต้องโทษจากคดีอันเกี่ยว กับการนำเข้า “เฮโรอีน”
จึงนำไปสู่การเปรียบเทียบกับกรณีของบางคนในอดีต
บางคนเพียงแต่มี “ข่าวลือ” ว่าถูกระงับ “วีซ่า” เพราะมีบัญชีดำ เกี่ยวกับยาเสพติดก็กลายเป็นปัญหาไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
จึงก่อให้เกิดความสงสัยในกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
หากถือตามบรรทัดฐานของ นายวิษณุ เครืองาม ประเด็นทางกฎหมาย ไม่ว่า นายอุตตม สาวนายน ไม่ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถือได้ว่าสอบผ่าน แต่ปมอ่อนไหวคือ ความควรหรือไม่ควร
นี่ย่อมเป็นเรื่องในทาง “จริยธรรม” มากกว่าจะเป็นเรื่องในทาง “นิติธรรม”
เป็นเรื่องของ “กรรม” ในลักษณะอันเป็น “วิบาก”