ประเทศอันเป็นที่รักของเราเคยมีมาตรฐานสูงจัด จนเข้าใจไม่ได้กันไปทั่วโลก หรือสูงลิ่วจนเอื้อมไม่ถึง
เมื่อก่อนนี้ ขนาดว่านายกรัฐมนตรีทำกับข้าวออกรายการโทรทัศน์ยังถูกเอาผิดเรื่อง “ขาดคุณสมบัติ” ถึงกับ “ร่วง” จากเก้าอี้
หรืออีกเรื่อง หัวหน้ารัฐบาลกับคณะรัฐมนตรีมีมติย้าย “ข้าราชการ” คนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่กุมข่าวกุมความลับ สุดท้าย “นายกรัฐมนตรี” หัวหน้าฝ่ายบริหารก็ถึงกับร่วงจากเก้าอี้พร้อมกับ “คณะรัฐมนตรี” ทุกคนที่ร่วมประชุมลงมติโยกย้ายข้าราชการคนนั้นต้อง “สิ้นสภาพ”
“นายกรัฐมนตรี” อีกคนหนึ่ง นับตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎรโหวตให้เป็นนายกฯ ก็ต้องผจญกับผู้ชุมนุมขัดขวางจนไม่มีโอกาสได้นั่งทำงานในทำเนียบรัฐบาลแม้แต่วันเดียว พอจะแถลงนโยบายก็ถูกม็อบปิดล้อมรัฐสภาจนเกิดการปะทะบาดเจ็บ
รายนี้ไปจบลงที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ทำให้ “นายกรัฐมนตรี” ต้องพ้นจากตำแหน่ง และเว้นวรรคการเมือง 5 ปี !
“ชะตากรรม” ที่เกิดแก่ “ฝ่ายนั้น” ราวอับโชคไร้วาสนา !?
“ฝ่ายนั้น” แพ้แทบหมดรูปเมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เพราะ “มือเปล่า” ไม่อาจฝืน “ปืน” ที่จ่อหัวและ จี้หลัง
ตีความได้ว่า “ฝ่ายโน้น” ไม่ประสงค์ให้ “ฝ่ายนั้น” มีที่ยืน !
เมื่อครั้งที่ “ฝ่ายนั้น” จะเนรมิตประเทศให้การคมนาคมทันสมัย มีรถไฟความเร็วสูงก็ถูกเบรกด้วยสำนวน “ดินลูกรังยังไม่หมด”
เมื่อฝ่ายนั้นทุ่มทุนใส่ลงไปหวังจะให้การแพทย์ก้าวไกลการสาธารณสุขทั่วถึงถ้วนหน้า การศึกษาก้าวทันโลก ทั้งหมดก็ถูกกล่าวหาว่า “ประชานิยม” จะนำพาประเทศสู่ความล่มจม
รัฐประหาร 22 พ.ค.57 เป็นจุดหักเห !
“ประชานิยม” ที่เกรงกันว่าจะพาชาติล่มสลายแปลงร่างเป็น “ประชารัฐ”
เคย “แจกน้อย” เปลี่ยนเป็น “แจกมาก”
ที่เคย “ย้ายคนเดียว” ทำไม่ได้ คราวนี้ย้ายกันเป็นร้อยเป็นพันด้วย “อำนาจ” เหนือคำบรรยาย ไม่ต้องมีคำอธิบาย
ที่เคยมัวหมองต้องคดีก็ไม่มีมลทิน !
ที่เคยมีประวัติแสบสันต์สุดร้ายกาจ นักเลงอันธพาล มือพนันก็จะมีคนเรียก “พะนะทั่น”
ทุกอย่างเปลี่ยนไป
เพียงแค่ “เปลี่ยนคน” จาก “ฝ่ายนั้น” ไปเป็น “ฝ่ายโน้น” ที่เคยอลหม่าน วุ่นวาย จลาจลก็สงบราบรื่น
วันนี้-พรุ่งนี้-มะรืนนี้ไปจนถึง 20 ปีข้างหน้า คงเป็นสุขดีกันทั่วหน้า !?!!!