ไม่ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค ไม่ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อปรากฎการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่ในร่างนโยบายรัฐบาล
ทั้งยังเป็นนโยบายประเภท “เร่งด่วน” มิได้เป็นนโยบายอย่างที่ เรียกขานว่า “ทั่วไป”
กระนั้น เมื่อสอบถามระยะเวลาของคำว่า “เร่งด่วน” ไม่ว่า นายวิษณุ เครืองาม ไม่ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ไม่ว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ก็ไม่สามารถตอบได้
เพียงแต่ให้กรอบกว้างๆ ว่าภายในระยะเวลา 1 ปี
จึงเท่ากับว่าระยะเวลา 1 ปีจะเป็นข้อกำหนดที่จะประเมินผล งานของรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นี่จึงเป็น 1 ปีอันมากด้วยความระทึกใจ
ความระทึกใจในที่นี้มิได้หมายถึงความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ตรงกันข้าม เป็นความรับผิดชอบของ 19 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
ตรงกันข้าม เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตกอยู่บนบ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วโดยตรง
แม้ว่าครั้งหนึ่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชน ปฏิรูป โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ จะเคยแสดงความไม่เห็นด้วยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคการเมืองใดที่เรียกร้องต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงต้องเข้าใจในบทบาทและความหมายของการบรรจุ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในเรื่อง “เร่งด่วน” ด้วย
เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์อาจจำเป็นต้องแสดงความเอาการเอางานในเรื่องนี้อย่างเป็นพิเศษ เพราะว่าเป็น 1 ใน 3 เงื่อนไข ที่เสนอต่อพรรคพลังประชารัฐ
ที่สำคัญคือ พรรคพลังประชารัฐยอมรับเป็นมั่นเหมาะ
พลันที่ร่างนโยบายรัฐบาลผ่านการยอมรับในที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 27 กรกฎาคม นั่นหมายความว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นประเด็น “เร่งด่วน”
คำพูดที่ว่า จะทำไปเรื่อยๆ เมื่อไรก็เมื่อนั้น มิอาจยืนยันได้อีก ต่อไป
เพราะเรื่องนี้ได้กลายเป็น”สัญญาประชาคม”ไปแล้ว
เมื่อเป็น “สัญญาประชาคม”ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามกรอบเร่งด่วนที่กำหนด นั่นก็คือ ภายใน 1 ปี