ทั้งๆที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นทหาร ผ่านศึกเสือเหนือใต้มาอย่างโชกโชน
แล้วเหตุใดจึงเกิดสถานการณ์ “ฟิวส์ขาด”เพียงวันแรกของการประชุม
หากนำเอาเทปการประชุมตั้งแต่ 09.30 น.มาศึกษาเชิงประมวลและวิเคราะห์ก็จะสัมผัสได้ว่าจุดอ่อนของทางด้านรัฐบาลทาง ด้านพรรคพลังประชารัฐว่าอยู่ตรงไหน
1 คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาในฐานะรอง ประธานรัฐสภา 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การยุทธ์ครั้งนี้จึงเริ่มจากเป้าหมายแรกไปยังเป้าหมายที่ 2
ในที่สุด “ปรอท” ก็ทะลักประจักษ์ออกมา
พรรคร่วมฝ่ายค้านตระหนักดีว่าหากหน้าที่ประธานอยู่ในมือของ นายชวน หลีกภัย สถานการณ์ปรอททะลักทางการเมืองคงไม่อาจเกิดขึ้นได้
เพราะ นายชวน หลีกภัย ไม่เพียงเปี่ยมด้วยบารมีหากเปี่ยมด้วยวุฒิภาวะ
ตรงกันข้าม นายพรเพชร วิชิตชลชัย มากด้วยจุดอ่อน
จุดอ่อนหนึ่งเพราะมาพร้อมกับรัฐประหารในตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จึงมีความเคยชินอย่าง เดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีประสบการณ์แต่กับสภาที่พับเพียบเรียบร้อย สั่งซ้ายหันขวาหันได้
จุดอ่อนนี้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย แสดงให้เห็นตั้งแต่สถานการณ์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม มาแล้วต่อมความอดทนในฐานะประธานต่ำอย่างยิ่ง
นายพรเพชร วิชิตชลชัย จึงเท่ากับเป็นกระดานหกยั่วเร้าต่อม ความอดทนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่ากรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่ากรณีของ นายพร เพชร วิชิตชลชัย เป็นจุดอ่อนและความต่อเนื่องมาจากสภาพทาง การเมืองเนื่องแต่รัฐประหาร
เป็นความเคยชินกับอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เป็นความเคยชินกับสภา”แต่งตั้ง” เป็นความไม่เคยชินกับสภาที่มาจาก”การเลือกตั้ง”
จึงต้องถูก”รับน้องใหม่” จึงต้องประสบกับ”สงครามสั่งสอน”