ในสังคมประชาธิปไตย “ผู้พิพากษา” มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี และ “อัยการ” ก็มีอิสระในการใช้ดุลพินิจสั่งคดี จะผูกมัดก็แต่โดยกฎหมาย
ความมีอิสระที่ว่านั้นจำเป็นที่สุดสำหรับ “ความยุติธรรม”
เพราะ “อิสระ” จึงจะ “ชอบด้วยความยุติธรรม” !
หมายความว่า มีอิสระที่จะไม่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจของใคร ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะมี หรือไม่มีอำนาจบริหาร
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงแยกอำนาจ 3 ฝ่ายออกจากกัน
“บริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ” ต่างทำหน้าที่ มีอิสระ และรับผิดชอบต่อสถานะนั้นๆ
มีบ้างในบางคราว ที่ “ฝ่ายบริหาร” เหิมเกริมแทรกแซง ก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ ตลอดจนองค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ถ่วงดุล
“เสรีนิยม” จึงไม่เสรี !
ประชาธิปไตยจึงถูกบิดไป ว่านี่คือลักษณะเฉพาะตัว เป็นแบบไทยๆ จนบางครั้งแม้แต่ “ความยุติธรรม” ก็ยังถูกย่ำจนกลายพันธุ์เป็น “แบบไทยๆ”
“หลักกฎหมาย” ไม่มีใครบิดเบือนได้ เว้นแต่ “นักกฎหมาย” ซึ่งส่วนมากจะเกิดจาก “นักกฎหมาย” ที่ทอดตัวรับใช้ฝ่ายรัฐบาล
นักกฎหมายมืออาชีพในกระบวนการยุติธรรมอย่าง “ผู้พิพากษา” กับ “อัยการ” นั้นต้อง “ประพฤติ” ต่างออกไป
“ระบบยุติธรรม” จะดำรงความเชื่อมั่นศรัทธาอยู่ได้ ถ้า “ผู้พิพากษา” กับ “อัยการ” มีอิสระ !
จึงต้องกล่าวคำว่า ยินดีต้อนรับ ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกาคนที่ 45 ซึ่งจะเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 นี้
ยินดีต้อนรับ วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดคนที่ 15 ที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2562 นี้เช่นเดียวกัน
ขอให้ทั้งสองท่านจงใช้ความรู้ความสามารถพัฒนาองค์กรยุติธรรมให้สูงขึ้น
องค์กรยุติธรรมจะสูงพ้นกระแสแห่งความเคลือบแคลงสงสัยทั้งหลายทั้งปวงได้ก็ด้วย “หลักกฎหมาย” และ “หลักธรรม”
จะว่าไปแล้ว “พิพากษา” กับ “อัยการ” นั้นท่านคร่ำหวอดหลักกฎหมายราวกับไหลเวียนอยู่ในสายเลือด ส่วน “หลักธรรม” ก็ไม่ใช่เรื่องราวยุ่งยากซับซ้อน
“หลักธรรม” สำหรับสังคมเสรีนิยมประชาธิปไตย คือคนย่อมเสมอหน้ากัน
ไม่มีคำว่า “ต่างตอบแทน”
กล่าวตามทฤษฎี “ฝ่ายบริหาร” มีวาระ 4 ปี มาแล้วก็ไป
ที่จะค้ำยันให้สังคมมั่นคงและมี “เสถียรภาพ” อย่างแท้จริงนั้นคือ กลไกในระบบยุติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อัยการ” กับ “ศาล”
ไม่ใช่ปืนกล ไม่ใช่รถถัง ไม่ใช่เครื่องบินรบ ไม่ใช่เรือดำน้ำ ไม่ใช่ทหาร !?!!