ขณะที่ด้านหนึ่งมีการเปิดเวทีเสวนา “จินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่: ประเทศไทยแบบไหนที่เราอยากอยู่ร่วมกัน” ที่พุทธสถานเชียงใหม่
อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายค้านก็เตรียมตั้งกระทู้ถามเรื่องการกล่าวนำ ถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ว่าสมบูรณ์ครบถ้วนตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
เรื่องหลังนำโดย นายสุทิน คลังแสง ถือว่าเป็นเรื่องร้อนต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน
เรื่องหลังดำเนินไปในลักษณะหว่าน “เมล็ดพันธุ์”
การเชิญวิทยากรอย่าง นายกษิต ภิรมย์ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร มากด้วยความแหลมคมทางการเมือง
เจาะทะลวงไปบริเวณโดยรอบพรรคประชาธิปัตย์
แม้ว่า ณ วันนี้ นายกษิต ภิรมย์ อาจเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย (ครป.) แม้ว่า ณ วันนี้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อาจไม่ได้อยู่พรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว
แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่า 2 คนนี้เคยมีบทบาทอย่างสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์
และอย่าลืมเป็นอันขาดว่า พรรคประชาธิปัตย์เคยแสดงความรู้สึกอย่างไรต่อรัฐธรรมนูญ คำว่า “ประชาธิปไตยวิปริต” คือฉายาที่เคยมอบให้กับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2562 โดยตรง
ขณะเดียวกัน เงื่อนไข 1 ใน 3 ที่สำคัญ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เน้นอย่างหนักแน่นในการเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
คือ การแก้ไขเพิ่มเติม “รัฐธรรมนูญ”
และ ณ วันนี้ รัฐบาลเองก็ยอมรับในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถึงกับบรรจุเป็นนโยบาย “เร่งด่วน” จะทำภายใน 1 ปี
เวลาที่เหลือจึงสำคัญและทรงความหมายยิ่งในทางการเมือง
กลยุทธ์ของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมากด้วยความแหลมคม ยุทธศาสตร์ใหญ่ คือ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และถือเอา “รัฐธรรมนูญ” เป็นเป้าหมายสำคัญ
เอารัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือเปิดโปงโจมตี ขณะเดียวกัน ก็แยกสลายเอกภาพภายในของรัฐบาล โดยเน้นประเด็นไปยังรัฐธรรมนูญ
เป้าหมายแรกในการทั้งตีและดึงคือ “ประชาธิปัตย์”