บทนำ : คืบหน้าตามหลักฐาน

เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดและวางเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อต้นเดือนสิงหาคม มีความคืบหน้าตามลำดับ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ติดตามแกะรอย และควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยนำไปสอบสวน และตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ ตามหลักวิชาการสืบสวน ทั้งด้านนิติวิทยาศาสตร์ ใช้เทคโนโลยี และการซักถาม ทุกอย่างค่อยๆ
ปะติดปะต่อจนทราบว่าผู้ก่อเหตุมีประมาณ 15 คน เดินทางมาจากภาคใต้ พักอาศัยที่ จ.ปทุมธานี และย่านรามคำแหง กรุงเทพฯ ก่อนลงมือ

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามแกะรอยคนร้าย ได้ปรากฏข่าวสารทางการเมืองที่ฟังได้ว่าเป็นความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการสรุปในทันทีว่าฝีมือการกระทำผิดเป็นของคน “กลุ่มเดิม” รวมไปถึงการโพสต์รูปกล่าวหาทางการเมือง กระทั่งผู้เสียหายต้องแจ้งความ ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกกล่าวหาว่าถ่ายภาพคู่กับผู้ต้องสงสัย ซึ่งคนที่ถ่ายภาพกับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย แต่เป็นพนักงานโรงแรมที่ทำงานสุจริต หรือกรณีพรรคประชาชาติที่มีผู้กล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยหัวหน้าพรรคประชาชาติได้ให้สมาชิกพรรคไปแจ้งความเอาผิดแล้ว

การสืบสวนหาคนร้ายลงมือวางระเบิดและวางเพลิงกรุงเทพฯและปริมณฑลครั้งนี้ มองเห็นความเคลื่อนไหว 2 แนวทาง คือ ความเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามพยานหลักฐาน และความเคลื่อนไหวที่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ซึ่งความคืบหน้าที่เป็นไปตามพยานหลักฐานย่อมมีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ทำงานตามหลักวิชา การสืบสวนคืบหน้า ทุกฝ่ายควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินไปตามพยานหลักฐานที่พบ เพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้ก่อเหตุได้ถูกตัว ซึ่งนอกจากจะสามารถปราบปรามได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในการป้องกัน คือ ทราบสถานการณ์ที่จะนำไปวางแผนป้องกันเหตุร้ายในอนาคตได้

การตั้งคณะทำงานที่มีนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควบคุม มีคณะกรรมการที่เป็นตำรวจซึ่งดูแลพื้นที่ที่เกี่ยวข้องทั้งนครบาลและภูธร รวมถึงตำรวจสอบสวนกลาง สันติบาล และอื่นๆ ถือเป็นแนวทาง บูรณาการงานเพื่อคลี่คลายคดีด้วยวิธีทางนิติวิทยาศาสตร์ ยึดหลักกฎหมายที่ต้องอาศัยพยานหลักฐาน ซึ่งหากตำรวจไทยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมายได้ ย่อมทำให้ต้นธารกระบวนการยุติธรรมได้รับการยอมรับทั้งในระดับชาติและระดับสากลต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image