นึกดูอีกที ถ้าการถวายสัตย์ปฏิญาณนั้น นายกรัฐมนตรีไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้นำรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 แต่เป็นคนอื่น ฝ่ายอื่น จะต้องสิ้นชื่อชนิดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
“การกระทำ” นั้นไม่เพียงขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่จะถูกตีความ ขยายความ กระทั่งอาจถึงขั้นใส่ความให้ลุกลาม ไม่ใส่ใจ หรือจงใจกล่าวคำถวายสัตย์ผิดๆ ถูกๆ กล่าวไม่ครบ ใจความสำคัญหายไปทั้งบรรทัด ทั้งๆ ที่ทุกถ้อยกระทงความมีบัญญัติในรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง
ถ้าไม่ใช่นายกฯชื่อประยุทธ์ ขุนทหารบางคนคงต้องออกมาฮึ่มฮั่มคำราม
ส.ว.เก่าๆ หลายคนคงพาเหรดกันออกมาตีฝีปากกล้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่คราวนี้ “ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้าม” ที่จะต้องไล่ล่า
ประยุทธ์ทำเอง !
แต่ฝ่ายค้านยังมีมารยาทที่จะใช้ “สภา” ถกปัญหา หาทางออก จึงยื่นกระทู้สดให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง
1.รัฐธรรมนูญบัญญัติเอาไว้หมดสิ้นทุกถ้อยคำ ทำไมไม่กล่าวคำถวายสัตย์ตามนั้น
2.การถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์นั้นเป็น “ความชอบ” หรือ “พร่อง” แล้วจะต้องทำอย่างไร ต่อไป
แต่ “ประยุทธ์” ผู้อาศัยรัฐสภาชำระล้างคราบไคลจนกลายเป็นนักการเมืองเต็มตัว กลับไม่ไปชี้แจงต่อ “สภา”
ในมุมมองของ “ประยุทธ์” ว่า “เรื่องนี้ควรจบดีกว่า อย่าให้บานปลาย”
ถามว่าเข้าใจระบบรัฐธรรมนูญแค่ไหน?
ต้องดูจากการตอบคำถาม
“รัฐธรรมนูญได้เขียนแบบกว้างๆ เอาไว้ ไปทะเลาะกันแต่เรื่องรัฐธรรมนูญทำไม ต้องไปดูว่ากฎหมายลูกมีอะไรบ้าง เพราะเป็นส่วนที่จะทำให้การทำงานเดินหน้าต่อไปได้”
รัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่กฎหมายที่เขียนแบบกว้างๆ ซึ่งพอเถียงกันแล้วก็ไล่ไปดูกฎหมายลูก
รัฐธรรมนูญเป็นแม่บทแห่งบทบัญญัติของกฎทั้งปวง
มาตรา 5 จึงบัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับหรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”
การถวายสัตย์ฯหรือการกระทำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถูก “ตีความ” ว่าไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ ใช้ไม่ได้ หรืออื่นๆ
แต่ “ประยุทธ์” กลับบอกว่า “ให้รอเลือกตั้งคราวหน้าก็แล้วกัน”
เป็น “บรรทัดฐานใหม่” ในยุคปฏิรูปประเทศที่ชวนให้ผู้คนสงสัย
ทำผิดรัฐธรรมนูญ แก้ไขได้ด้วยการ “รอเลือกตั้งใหม่คราวหน้า” !?!!