เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายชัยเกษม นิติสิริ กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ พร้อมพาดพิงพรรคการเมืองหน้าใหม่ ว่ามีรูปแบบไม่ต่างกับคอมมิวนิสต์ในอดีตว่า แม้ไม่ได้ระบุชัดว่าหมายถึงพรรคการเมืองใด แต่ทุกคนคงเดาออกว่า ผบ.ทบ.หมายถึงพรรคใด ซึ่งจะให้ดี ผบ.ทบ.ควรระบุชื่อพรรคไปเลย เพื่อที่จะได้รับทราบและปรับตัวให้ถูก อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ผบ.ทบ.ซึ่งเป็นข้าราชการประจำนั้น ไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เพราะจะทำให้เกิดผลได้และผลเสียต่อพรรคการเมืองและคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น เมื่อ ผบ.ทบ.วิจารณ์พรรคการเมืองใด ก็เหมือนกับตำหนิพรรคการเมืองนั้น ขณะเดียวกัน หากกล่าวชื่นชมพรรคการเมืองใด ก็เหมือนให้การสนับสนุนพรรคการเมืองนั้น ไม่ใช่การแสดงออกซึ่งความเป็นกลาง เป็นเรื่องที่ข้าราชการประจำไม่ควรทำ
นายชัยเกษมกล่าวต่อว่า ไม่คิดว่าการแสดงออกของ พล.อ.อภิรัชต์ จะเป็นการส่งสัญญาณใดๆ แต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวมากกว่า ดังจะเห็นว่า พล.อ.อภิรัชต์ ให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบันเป็นอย่างมาก หากพบว่ามีอะไรไม่เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจ ก็มักจะออกมาปกป้องตามนิสัยส่วนตัว ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าสำหรับประเทศไทยนั้น การจะเอาทหารออกจากการเมืองถือเป็นเรื่องยาก และไม่เคยทำได้มาก่อน เพราะทหารฝังรากลึกในการเมืองไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากเดิม
นายชัยเกษมกล่าวว่า ส่วนตัวไม่เชื่อที่ พล.อ.อภิรัชต์ ยืนยันจะไม่มีรัฐประหาร ตราบใดที่ยังเป็น ผบ.ทบ.อยู่ เพราะไม่เคยมี ผบ.ทบ.คนใดจะสามารถรักษาสัตย์ในส่วนนี้ได้เลย ผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ที่ประกาศว่าจะไม่ทำรัฐประหารนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนตายใจ แต่สุดท้ายก็ก่อการ แม้ตอนนี้จะบริหารงานโดยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดรัฐประหารขึ้นอีก เพราะถ้ารัฐบาลแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ตก รัฐประหารก็เกิดได้ทุกเมื่อสำหรับประเทศไทย
นายชัยเกษม ยังแนะนำรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการถวายสัตย์ปฏิญาณ ไม่ครบถ้วนว่า วิธีแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุดคือ ให้นายกรัฐมนตรีขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วนำ ครม.เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ โดยทุกอย่างที่ทำมานั้น จะไม่ถูกโล๊ะหรือนับหนึ่งใหม่ เพราะถือว่าได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ทุกอย่างจึงเดินหน้าต่อเนื่องไปได้ทันที ไม่มีสะดุด
