วิพากษ์‘บิ๊กแดง’ลั่นคำไร้ปฏิวัติ ทำสงครามลูกผสม-เฟคนิวส์

หมายเหตุ นักวิชาการให้ความเห็นกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์และมีการเผยแพร่เนื้อหาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังจากประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคมโดยระบุว่า ไทยกำลังต่อสู้กับสงครามลูกผสม เป็นฝีมือของศัตรูใช้ข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ เพื่อทำให้วัยรุ่นไทยหันมาต่อต้านกองทัพและสถาบัน โดยการโฆษณาชวนเชื่อทางอินเตอร์เน็ต ในยุคนี้ไม่ต่างจากการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ รวมทั้งยืนยันว่าตราบใดที่ยังดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.อยู่จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น


โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

สถานการณ์ปัจจุบันเงื่อนไขการต่อสู้ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป โซเชียลมีเดียมีผลอย่างมาก โดยคนรุ่นใหม่เห็นว่าการเมืองในปัจจุบันมันไม่ได้ตอบโจทย์เขาเลย สิ่งที่พรรคการเมืองที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พยายามที่จะสื่อสาร ผมคิดว่าเขาพูดสิ่งสำคัญเลยคือ สิ่งที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ไม่ได้กระทำเลย สิ่งที่พรรคกลุ่มนี้พูดมันทำให้สถานะเขาไม่มั่นคง ถามว่าคนรุ่นใหม่ทำไมรู้สึกว่าสิ่งที่พรรคนั้นพูดไปโดนใจเขา โดนใจเขาง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลที่ผ่านๆ มา พยายามสื่อสารกับคนรุ่นใหม่แต่กลับไม่โดนใจ ปัญหาคือตอนนี้พรรคที่ พล.อ.อภิรัชต์ พูดถึง พูดความจริงของสังคม พูดสิ่งที่ในรอบ 20 ปีไม่มีการพูดถึงเลย แต่พอมาพูดถึงสถานภาพของชนชั้นนำเดิมสั่นคลอน พอมาสั่นคลอนก็ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ปรากฏว่าการทำของรัฐบาลได้ผล

ยกตัวอย่าง กรณีเมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ไปเปิดทดลองใช้รถไฟฟ้า และมีการช่วยจูงมือผู้พิการขึ้นรถไฟฟ้า ทั้งที่ประชาชนเขารู้กันหมดว่าไม่มีผู้พิการเข้าไปบริเวณดังกล่าวได้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้รัฐบาลพยายามจะทำ แต่ไม่โดนใจ ดังนั้นสิ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์พูดนั้น คือพยายามปกป้องผลประโยชน์ฝั่งตัวเองเท่านั้น แต่กลับไม่มีศักยภาพพอจะทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เห็นความหวังและอนาคตของประเทศ

Advertisement

ถ้ารัฐบาลยังมีลักษณะแบบนี้ กองทัพยังมีวิธีคิดแบบนี้ ความนิยมชมชอบต่อพรรคอนาคตใหม่จะมีมากขึ้นมหาศาล และสังคมไทยชนชั้นนำของกองทัพ นายทุน นักการเมือง จะไม่มีวันรักษาสถานภาพเดิมแบบนี้ได้อีกต่อไป ยิ่งทำแบบนี้ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อมั่นในพรรคอนาคตใหม่มากไปอีก เพราะไม่สามารถใช้วิธีการที่ดีกว่าได้

ส่วนเหตุผลที่ ผบ.ทบ.บอกว่าจะไม่ปฏิวัติ เราเห็นความสัมพันธ์ค่อนข้างชัด ยกเว้นเกิดความขัดแย้งในกลุ่มเดียวกัน แน่นอนว่าหากเกิดรัฐประหารอีกรอบความเชื่อมั่นต่อประเทศก็จะตกต่ำมากไปกว่าเดิม แต่ถ้าไม่ขัดแย้งกันหนักประตูรัฐประหารแทบจะเกิดขึ้นน้อยมาก และสิ่งที่กองทัพและรัฐบาลไม่ได้ประเมินเลยว่าสภาพความรู้สึกของประชาชนในสังคมที่หมดหวังกับประเทศ สิ่งนี้จะทำให้รัฐบาลเกิดวิกฤต เพราะรัฐบาลมีปัญหาทั้งเรื่องการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ความไม่ชัดเจนของพรรคร่วมรัฐบาล ความล้มเหลวจากการบริหารเศรษฐกิจ ทุกอย่างเข้ามา

และที่สำคัญกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ผิดหวังและการที่กองทัพให้ข่าวแบบนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมขึ้นเรื่อยๆ และหมดศรัทธาได้

Advertisement

 

ฐิติพล ภักดีวานิช
คณบดี คณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี

ในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว หลักๆ แล้วคิดว่าทหารมีสงครามในจินตนาการของตัวเองด้วย เนื่องจาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) หรือบิ๊กแดง พูดถึงพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองบางพรรคใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการ Propaganda หรือโฆษณาชวนเชื่อกับกลุ่มเยาวชน เป็นการสะท้อนถึงการไม่เข้าใจและไม่ยอมรับว่า โลกหรือสังคมไทย หรือคนรุ่นใหม่มีวิธีคิด โดยการศึกษาจากหลายๆ แหล่ง

เรื่องนี้เป็นวิธีคิดแบบผู้ใหญ่โบราณ คิดว่าเด็กคิดไม่ได้ คนอายุ 16-17 เขาพูดถึงสามารถเชื่ออะไรก็ได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เด็กอายุขนาดนี้ย่อมมีการศึกษา มีความรู้ ทุกคนคิดได้ ที่สำคัญคือการไม่เชื่อข้อมูลของรัฐไม่ได้หมายความว่าเป็นคนคิดไม่ได้ ทว่านี่คือการที่เยาวชนเชื่อข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ไม่เชื่อข้อมูลจากทหาร และไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้ถูกล้างสมอง เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทหารต้องทำความเข้าใจ

นอกจากนี้ ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดแบบไทยๆ โดยใช้อำนาจทางการปกครอง เพราะตัวบิ๊กแดงเป็นข้าราชการ ควรทำหน้าที่บริการประชาชน และความจริงแล้วทหารมิได้มีอำนาจแบบนี้ ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นการสะท้อนถึงการใช้อำนาจควบคุมประชาชนมากกว่าการส่งเสริมให้รัฐบาลใช้อำนาจปกครองประเทศ

การที่รัฐคิดถึงประชาธิปไตย คิดถึงสิทธิมนุษยชนในมุมมองของรัฐ ตอนนี้หมายถึงรัฐบาลที่ทหารนำ โดยทหารไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยและมนุษยชนในความหมายที่สากลทั่วโลกยอมรับ ดังนั้นทหารควรทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนจะมาพูดถึงเรื่องการใช้โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพราะที่ผ่านมาเยาวชนหรือคนไทยโตมาในช่วงที่โลกมีความเปลี่ยนแปลง และเขาเคยมีสิทธิเสรีภาพอยู่ แต่เมื่อมีทหารเข้ามาในช่วงรัฐประหารจะเห็นว่าสิทธิเสรีภาพตรงนั้นลดลง เป็นปัญหาของทหารเอง ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลก ไม่ใช่มาประกาศสงครามไซเบอร์กับคนในประเทศ

อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นการสะท้อนการกล่าวหา เป็นการพูดในเชิงไม่เคารพคนในประเทศ ไม่เคารพประชาชน เป็นวิธีคิดของรัฐต้องการลดทอนและแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจเข้าควบคุม ดังนั้นการที่เยาวชนอายุ 16-17 ปีเริ่มคิดวิเคราะห์เองได้ รัฐบาลควรดีใจด้วยซ้ำ ไม่ใช่จะมาตีตราว่าเยาวชนหรือคนเหล่านั้นเป็นพวกคิดไม่ได้ เชื่อทุกอย่างที่เข้ามา เป็นวิธีคิดแบบผู้ใหญ่โบราณ เด็กต้องคิดตามผู้ใหญ่ รัฐบาลก็มองว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ เด็กต้องมาฟัง อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ได้ดีทั้งหมด รัฐบาลเองก็มีข้อผิดพลาด มีการให้ข้อมูลไม่ถูกต้องในหลายด้าน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าดีใจว่าเด็กเหล่านี้เริ่มตั้งคำถาม ทั้งหมดนี้ไม่ได้ช่วยให้ประเทศมีการพัฒนา กลับทำให้ประเทศล้าหลังด้วยซ้ำ

ที่บอกว่าจะไม่มีการปฏิวัติแล้ว เราก็เห็นว่าทหารเป็นคนพูด ที่ผ่านมาก็เห็นหลายครั้งว่าจะไม่มีปฏิวัติ สุดท้ายก็มี นี่ไม่ใช่สัญญา และเป็นสิ่งที่เชื่อไม่ได้

ประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมามีการปฏิวัติมาเรื่อยๆ และเป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยทหาร คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่หลักประกันอะไรเลย ดังนั้น สิ่งที่ทหารควรทำคือ พยายามอยู่ในบทบาทหน้าที่

แต่เท่าที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า ทหารบอกว่าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวกับการเมือง ขณะที่ในบทสัมภาษณ์นี้เองก็ยังเอ่ยถึงพรรคการเมืองบางพรรค สะท้อนให้เห็นว่าทหารไม่ได้อยู่ภายในกรอบหน้าที่ของตัวเอง ความย้อนแย้งในบทสัมภาษณ์ดังกล่าวอาจอ้างว่านี่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่ก็ควรจะรู้ว่าบทบาทหน้าที่ของทหารคืออะไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image