“คสช.”แจงบังคับใช้มาตรการเดิม ย้ำไม่ก้าวล่วง นักการเมือง ไปตปท.ยันเป็นสิทธิชอบธรรม
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน ที่กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมสำนักงานเลขาธิการ คสช.ประจำสัปดาห์
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวถึงภาพรวมการทำงานของคสช.ในเรื่องการรักษาความสงบ ว่า เป็นไปตามกรอบโรดแมป ซึ่งการทำงานของ คสช.จะเน้นการทำงาน 3 หลักคือ 1.การดูแลความปลอดภัย และรักษาความสงบเรียบร้อยในส่วนรวม 2.การสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล และ 3.ช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ในส่วนของมาตรการต่างๆ ที่คสช.ขอความร่วมมือนั้นยังเป็นมาตรการที่มุ่งหวังให้เกิดความเรียบร้อย ถ้าอะไรที่ทำให้เกิดความไม่เรียบร้อย และก่อให้เกิดความวุ่นวาย ทางคสช.จำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการแบบเดิม ไม่ว่าจะประกาศ หรือคำสั่งคสช. แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม แต่ขอย้ำว่าเราจะบังคับใช้กฎหมายปกติทุกๆ เรื่อง อาทิ หากประชาชนมีความเดือดร้อนเรื่องที่ดินเราก็จะบังคับใช้กฎหมายที่ดิน หรือหากมีการชุมนุม ก็จะบังคับใช้ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ พ.ศ.2558 เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าไม่ได้มีการออกมาตรการใดที่นอกเหนือไปจากนี้
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่า การแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่คสช.อยากให้เป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ และต้องเป็นไปได้ อีกทั้งต้องไม่ไปละเมิดให้ใครเสียหาย หากมีอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร หรือบุคคลต้องเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่บุคคลหรือองค์กรนั้นๆ จะใช้สิทธิตามกฎหมายในการดำเนินการกล่าวโทษต่อการบิดเบือนข้อมูล ขณะเดียวกันการเปิดโอกาสในนักการเมืองเดินทางไปต่างประเทศนั้น ขอยืนยันว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมจะไปทำอะไรก็ได้ เพียงแต่เราจะติดตามห่างๆ หากไม่มีอะไรที่ปรากฏในสาธารณะอย่างชัดเจน และส่งผลต่อความไม่เรียบร้อย ทางคสช.จะไม่ไปก้าวล่วงทั้งสิ้น
เมื่อถามว่ากรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาที่ถูกระงับหนังสือเดินทาง พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า เป็นไปตามกระบวนการในการออก และให้หนังสือเดินทางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทางคสช.จะไม่ไปก้าวล่วง ทั้งนี้การออกหนังสือเดินทางเป็นหลักการพื้นฐานเหมือนกันใครก็ตามที่จะได้รับหนังสือเดินทาง ซึ่งในฐานะคนไทยก็สามารถเข้าสู่กระบวนการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ในทางตรงกันข้ามหากใครทำผิดตามกฎหมาย อีกทั้งมีคำสั่งของศาล หรือข้อจำกัดอะไรต่างๆ ย่อมเป็นไปตามดุลยพินิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่สามารถออกหนังสือเดินทางให้ได้ ซึ่งเป็นหลักการปกติ
เมื่อถามต่อว่า การระงับธุรกรรมทางการเงินของนักการเมืองนั้น รองโฆษกคสช. กล่าวต่อว่า ต้องดูที่มาที่ไป และสาเหตุการระงับธุรกรรมทางการเงินของบุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องมีที่มาที่ไป และมีพื้นฐานความผิด ก็เป็นไปตามหลักการเดิม ขณะเดียวกันหากบุคคลใดสามารถชี้แจงทำให้สังคมเกิดความมั่นใจได้ว่าดำเนินการทุกอย่างถูกต้องก็ไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องระงับธุรกรรมทางการเมือง
