ไม่ว่าในที่สุดกรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลงเอยอย่างไร แต่ผลสะเทือนจากกรณีนี้ก็ได้กลาย เป็นโรงเรียนการเมืองเป็นอย่างสูง
ไม่เพียงแต่เป็น “บทเรียน” ให้กับสังคม ที่สำคัญเป็นอย่างมากยังเป็นรูปธรรมการถลำลึกลงไปเป็นลำดับของ “นักการเมือง”
นักการเมืองที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แค่ความพยายามในการ “หนีสภา” 2 ครั้ง และอาจจะเพิ่มเป็น 3 ครั้ง ในวันพุธที่ 21 สิงหาคม ก็กลายเป็นความน่าตื่นเต้นเป็นอย่างสูง
กระทั่งการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญก็เริ่มกลายเป็นประเด็น
ประเด็นว่าจะมีการเตะถ่วง หรือมิอาจเกิดขึ้นได้
หากพิจารณาจากคำแถลงทั้งของนายชวน หลีกภัย และของนายศุภชัย โพธิ์สุ ก็เริ่มสัมผัสได้ในปัญหาอันอาจตามมาจากตัวบทนั้นเองและบริบท
1 มาตรา 152 อาจเป็นเรื่องที่มีอยู่ในวุฒิสภา แต่กล่าวสำหรับสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งมีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ที่ผ่านมามีเพียงขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ
ปัญหาอันเป็นความต่อเนื่องก็คือ ไม่มีรายละเอียดกำหนดอยู่ในข้อบังคับการประชุม เพราะขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบังคับการประชุมอยู่
ยิ่งกว่านั้น 1 ถึงแม้ว่าจะสามารถบรรจุเป็นระเบียบวาระได้ก็ไม่สามารถบรรจุลงได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากประธานรัฐสภา รองประธานรัฐสภา ติดภาระอื่นอยู่
เพราะต้องไปรับแขกและเข้าร่วมประชุมรัฐสภาอาเซียนในระหว่างวันที่ 25-30 สิงหาคม จึงมีความเป็นไปได้ว่าการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปอาจต้องเป็นเดือนกันยายน
นั่นก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้าน
มีความเป็นไปได้ว่าตลอดเดือนสิงหาคม ทุกวันพุธของการประชุมสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะติดภารกิจเหมือนกับที่ติดมาแล้วใน 2 ครั้งก่อน
เท่ากับการรุกจากฝ่ายค้านอาจไม่เกิดผลทางการปฏิบัติ
หมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ตอบกระทู้ถามสดอย่างแน่นอน
ขณะที่การอภิปรายทั่วไปก็อาจจะ “เลื่อน” ไปอีก