ทำไมจึงมีคำว่า “เป๋ไป เป๋มา” เมื่อมีการนิยามสภาพและลักษณะของรัฐบาล กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำมาพูดกับเด็ก
พร้อมกับยืนยันในความแข็งแกร่งที่มีอยู่
อาจจะเริ่มจากคำถามของนักข่าว แต่ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ คำถามของนักข่าวในแต่ละสำนักมีรากฐานมาจากอะไร
ตอบได้เลยว่า มาจาก “ชาวบ้าน”
ไม่เพียงเพราะนักข่าวเป็นองค์ประกอบหนึ่งของชาวบ้าน หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือนักข่าวเป็นคนในพื้นที่ย่อมสัมผัสได้จากสภาพความเป็นจริง
ความเป็นจริงที่รัฐบาลอยู่ในฐานะ “รับ”
รับจากคะแนน ส.ส. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน จำนวน 251 อาจจะเกินกึ่งหนึ่งแต่การเกินกึ่งหนึ่งมา 1 นี่แหละที่ชวนให้หวาดเสียว
หวาดเสียวหากปรากฏ “ฝ่ายค้านอิสระ”
หากมองจาก 500 เสียงที่ขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน อาจจะรับรู้ในความแข็งแกร่ง
แต่ใน 500 นี้ก็เป็น ส.ว. ถึง 249
ที่เหลือ 251 เป็น ส.ส. จาก 19 พรรคการเมือง และปรากฏการณ์เพียง 1-2 เดือนก็เด่นชัดอย่างยิ่งว่าดำรงอยู่ในลักษณะกระเพื่อม
แพ้การลงมติถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ทำให้ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งกรรมการประสานงานมากถึง 60 กว่า หากจำเป็นที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องลงมาคุมเอง
เหมือนกับเป็นเอกภาพ แต่สะท้อน อ-เอกภาพ
ยืนยันว่าการนำโดย นายอุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ มีปัญหาในทางการปฏิบัติ ในทางเป็นจริง
2 เดือนปัญหาก็ปูดโปนออกมา
มาตรการที่วัดสถานะของรัฐบาลได้อย่างดีที่สุดขอให้ดูจากแต่ละสถานการณ์ที่กลายเป็นประเด็นนำไปสู่อุณหภูมิอะไรในทางสังคม
อย่างเช่น “ถวายสัตย์ปฏิญาณ” เป็นอย่างไร
อย่างเช่นการเตรียมเทงบประมาณเกือบ 3 แสนล้านบาทออกมาเพื่อกระตุ้นและรับมือกับสภาวะผันผวนในทางเศรษฐกิจ
นี่เป็นการรุกอย่างเด่นชัด
คำถามอยู่ที่ว่าได้รับเสียงชโยโห่ร้อง เกิดความหวังอย่างเต็มเปี่ยมในทางสังคมหรือไม่ หรือว่าทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
เหมือนกับ 5 ปีไม่มีความหมาย
เพียง 2 เดือนรัฐบาลก็ประสบกับญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปอันเนื่องแต่กระบวนการและความผิดพลาดจากตัวของรัฐบาลเองซะแล้ว
ก็พอจะมองออกว่า 3 เดือนจะเป็นเช่นใด
โดยธรรมชาติทางการเมืองชัยชนะจากการเลือกตั้ง ชัยชนะจากการจัดตั้งรัฐบาล การดำเนินแต่ละนโยบาย น่าจะทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาพเป็นฝ่ายกระทำ
เป็นฝ่ายกำหนด “เกม”
คำถามก็คือ จากกรณี “ถวายสัตย์ปฏิญาณตน” กระทั่ง การแถลงนโยบายของรัฐบาล ใครเป็นคนกำหนดเกม ใครเป็นคนกำหนดวาระ
วาระอันเป็น “พาดหัว” สื่อ