นักธุรกิจฟ้องนายกฯ โวยไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังไปลงทุนธุรกิจในประเทศลาว

“นักธุรกิจ” ยื่นหนังสือ “นายกฯ” ขอความเป็นธรรม ปมทุ่มลงทุนในจำปาสัก แต่รัฐบาลลาวไม่ต่อสัญญา เผย เตรียมคุยทูตไทยที่เวียงจันทน์ 22 ส.ค.นี้

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 20 สิงหาคม ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายวิมล กิจบำรุง นักธุรกิจเจ้าของโครงการแหล่งท่องเที่ยวครบวงจรน้ำตกผาส่วม อุทยานบาเจียง น้ำตกผาส่วม แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ยื่นหนังสือร้องเรียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างตนกับทางการ สปป.ลาว หลังจากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเข้าไปประกอบธุรกิจในแขวงจำปาสัก

นายวิมลกล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ.2539 ตนได้รับเชิญจากเจ้าแขวงจำปาสักให้เข้าร่วมพัฒนาและยกระดับการท่องเที่ยวตามนโยบายของแขวง ต่อมา ตนได้ออกแบบเสนอโครงการจัดสร้างแหล่งท่องเที่ยวแบบครบวงจรให้รัฐบาลพิจารณา คือสร้างบ้านพักแบบอนุรักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งได้รับความเห็นชอบในแผนการลงทุนและมีเอกสารทางราชการ ได้แก่ ใบอนุญาตลงทุนระยะแรก 15 ปี (2544-2559) สัญญาร่วมธุรกิจกับภาครัฐ อายุสัญญา 20 ปี และขอต่อได้ เริ่มต้นปี 2543-2563 และสัญญาสัมปทานพื้นที่ 166 เฮกตาร์ หรือประมาณ 1,000 ไร่ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปีครึ่ง เริ่มเปิดกิจการวันที่ 5 ธันวาคม 2546 ต่อมาในปี 2556 ตนได้ทำเรื่องขอต่ออายุใบลงทุนต่อทางการแขวงจำปาสัก ผลการประเมินของคณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ต่อใบอนุญาตการลงทุนได้ แต่เรื่องก็เงียบหายไปเกือบสองปี จากการติดตามสอบถาม ทางภาครัฐได้ส่งกรรมการชุดใหม่มาประเมินอีกครั้ง ผลของการประเมินก็ไม่เปลี่ยนแปลง

นายวิมลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าแขวงจำปาสักคนปัจจุบันได้ออกหนังสือมีความเห็นส่วนตัวต่างจากมติของคณะกรรมการ ส่งขึ้นไปถึงกระทรวงแผนการการลงทุน แจ้งว่าตนจะไม่ขอต่อใบอนุญาตการลงทุนอีกเพราะสุขภาพไม่ดี และไม่ขอรับค่าชดเชย ทางแขวงจะขอเป็นผู้รับดำเนินกิจการต่อ เมื่อตนทราบเรื่องจึงเดินทางไปที่กระทรวง แต่ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ว่ารัฐมนตรีได้เซ็นเห็นชอบให้แขวงจำปาสักดำเนินกิจการไปแล้ว ตนจึงทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมเสนอต่อสำนักนายกรัฐมนตรี (สนย.) เพื่อขอโครงการคืนหรือขอค่าชดเชยที่ยุติธรรม และ สนย.มีหนังสือถึงกระทรวงแจ้งให้แขวงจำปาสักจ่ายค่าชดเชยให้แก่ตนอย่างยุติธรรม

Advertisement

นายวิมลกล่าวว่า ในระยะเวลาดังกล่าว ตนประสบความยุ่งยาก ไม่สามารถขอต่อวีซ่าประกอบธุรกิจได้ เพราะหน่วยงานของแขวงไม่ออกเอกสารรับรองให้ ต่อมา ทางแขวงจำปาสักจัดประชุมและเชิญตนเข้าร่วมพร้อมกับให้เซ็นรับค่าชดเชยโครงการมูลค่าสามแสนดอลลาร์สหรัฐ แต่ตนปฏิเสธรับโดยให้เหตุผลว่าการประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงและเป็นการประเมินแต่ฝ่ายเดียว จากนั้นทางแขวงได้บังคับให้ตนเซ็นยุติการประกอบธุรกิจและยอมให้ทางแขวงใช้อาคารสถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งพนักงานทั้งหมดของตนเพื่อเปิดดำเนินกิจการแทน

นายวิมลกล่าวว่า ล่าสุด แขวงจำปาสักส่งหนังสือถึงสถานกงสุลไทยที่สะหวันนะเขต เรียกให้ตนเข้ามารับเงินจำนวนเดิมภายใน 5 วัน ตนจึงตัดสินใจทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากนายกฯ เพราะปัจจุบันประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนซึ่งมีนโยบายคุ้มครองและส่งเสริมนักลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งนี้ นอกจากตนแล้ว ทราบว่ากรณีเช่นนี้ยังเกิดขึ้นกับนักธุรกิจชาติอื่นๆ ด้วย โดยในวันที่ 22 สิงหาคม ตนจะเดินทางไปสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ เพื่อหารือหาทางออกกับเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image