‘เสธแมว’ แนะรัฐสรุปบทเรียน ‘อับดุลเลาะ’ ทบทวนการใช้กม.พิเศษ-ปรับมาตรการคุมตัวให้โปร่งใส

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของ นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ว่า จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวน การบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง และภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ใช้บังคับแล้ว ผู้มีอำนาจจะต้องตระหนักว่า ในแง่สิทธิมนุษยชนจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะต้องได้รับความคุ้มครอง ดังนั้น การประกาศกฎอัยการศึก การคงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ การบังคับใช้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จะต้องได้รับการทบทวนทั้งหมด

“โดยเฉพาะกฎอัยการศึก ซึ่งโดยหลักแล้วจะใช้เฉพาะเหตุภัยสงครามเหตุจลาจลที่เกิดขึ้นภายในประเทศเท่านั้น แต่ประเทศไทยกลับหยิยยกมาใช้โดยตลอด ซึ่งในระยะยาวเจ้าหน้าที่อาจขาดความรอบคอบ เพราะ กฎหมายเอื้อให้เกิดความสะดวกสบาย โดยเฉพาะการใช้อำนาจไปเชิญตัวควบคุมตัวโดยไม่ต้องมีหมายได้ภายใน 7 วัน ซึ่งถือเป็นความสุ่มเสี่ยง และอาจทำลายบรรยากาศของความไว้ใจในพื้นที่ การพูดคุยเพื่อสร้างสันติภาพ สร้างสันติสุข จึงมีผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้น หากกฎหมายที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ได้รับการทบทวนบรรยากาศต่างๆ โดยเฉพาะในแง่ของสิทธิมนุษยชนจะดีขึ้นตามลำดับ เชื่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องใช้กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งบังคับใช้มากว่า 10 ปี เป็นประเด็นที่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่ให้ความคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพไว้ ซึ่งหากหลีกเลี่ยงได้ก็จะเป็นผลดี” พล.ท.ภราดร กล่าว

พล.ท.ภราดร กล่าวอีกว่า การบังคับใช้กฎหมายพิเศษเช่น พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึก ยังเป็นตัวชี้วัดด้วยว่า ขีดความสามารถ ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศกำลังมีปัญหา ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัฐต้องสรุปบทเรียน มาตรการที่เข้าไปดำเนินการต่อประชาชน โดยเฉพาะประเด็นการพูดคุยซักถามเพื่อหาข้อมูลต่างๆรูปแบบจะต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดความโปร่งใสเกิดความสบายใจต่อพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า เช่น กรณีที่เอาไปซักถามในค่ายทหาร ก็ต้องเป็นพื้นที่ที่เปิดเผย อาจเป็นห้องกระจก ไปซักถามและสามารถให้ญาติพี่น้องมาเฝ้าดู บรรยากาศเพื่อความมั่นใจว่าลูกหลานเขาปลอดภัย และเมื่อพูดคุยซักถามเสร็จกระบวนการเรื่องที่พัก จะต้องสามารถเข้ามาเยี่ยมเยียน แวะเวียนดูแลได้ ไม่ให้เกิดบรรยากาศของความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน หากปรับเปลี่ยนมาตรการดังกล่าวได้จะสร้างความสบายใจให้กับประชาชนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างน้อยที่สุดได้รู้เห็นว่าลูกหลานที่ถูกควบคุมตัว บรรยากาศเป็นอย่างไร และจะนำมาซึ่งความสบายใจ เหล่านี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่รัฐต้องเร่งแก้ไข

 

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image