⦁…พายุเข้า น้ำท่วม “อีสาน-เหนือ” รอบนี้ชาวบ้าน “ไม่เหงา” ไม่ว้าเหว่วังเวงเสียทีเดียว เพราะยังมี “ส.ส.” และ “นักการเมือง” หมุนเวียนกันลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียน ดูแลทุกข์สุข มีปัญหาอะไรฝากไปร้องในสภาได้ ผลทางอ้อมที่ชัดเจนมากขึ้น คือ “ระบบราชการ” จะตั้งใจทำงานมากขึ้น ไม่กล้าเข้า “เกียร์ว่าง” อย่างในอดีต 4-5 ปีที่่ผ่านมา
⦁…ในพายุ-น้ำท่วม ซึ่งก่อผลสะเทือน สร้างความเดือดร้อนไปหลายพื้นที่ แต่บางพื้นที่ ชาวไร่ชาวนาก็ “ยิ้มกลางฝน” ไปเหมือนกัน เพราะได้ “น้ำฝน-น้ำหลาก” มาช่วยนาข้าวที่ใกล้ตั้งท้อง ที่สำคัญ “ช่วยเติมน้ำ” ในเขื่อนที่ก่อนหน้านี้แห้งขอด ให้กลับคืนสภาพแหล่งน้ำอีกครั้ง
⦁…โยนกันไปโบ้ยกันมา เรื่องของ “วันอภิปราย” ปัญหาการถวายสัตย์ แต่สมัยประชุมสามัญแรก จะสิ้นสุด 18 ก.ย.นี้แล้ว รัฐบาลเลย “จิ้ม” วันที่ 18 ก.ย. พูดเต็มที่ แต่ไม่เกินเที่ยงคืน เพราะหมดสมัยประชุมพอดี สกัดมิให้ยืดเยื้อไปในตัว ส่วนจะประชุมลับหรือไม่ เป็นเรื่องที่ปรึกษาหารือกันได้ ยังไงก็ต้องให้ “ระบบรัฐสภา” ได้ทำงานตามหน้าที่ ในที่นี้คือสอบถาม หา “ความจริง” ว่า เกิดอะไรขึ้น และจะหาทางออกยังไงกันดี
⦁…ฝ่ายค้านเตรียม “แก้รัฐธรรมนูญ” ที่ว่ากันว่า “แก้ยากแก้เย็น” แต่ก็ต้องเดินหน้าทำกันไป น่าสังเกตว่าไม่ค่อยได้ยินเสียงคัดค้าน อาจจะเป็นเพราะว่า เห็น “ฤทธิ์เดช” กันมาจากตอนเลือกตั้งแล้วว่า ดีไซน์มาเพื่อใคร เรื่องแรกๆ ที่จะต้องรีบ “รื้อ” โดยด่วน น่าจะเป็น “วิธีการเลือกตั้ง” ให้เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมา รู้ผลเร็ว และ “สะท้อนเจตนารมณ์” ของประชาชน ไม่ใช่สะท้อนเจตนารมณ์ของ “คนยกร่าง”
⦁…อีกเรื่องที่ทิ้งไว้ไม่ได้ “สภา” น่าจะต้องหาทางแก้ไขไปพร้อมๆ กัน คือ “องค์กรอิสระ” ทำยังไง จะให้เป็นอิสระจริงๆ ปลอดจาก “การเมือง” และเป็นที่เชื่อถือ นับหน้าถือตาในหมู่ประชาชน ไม่ใช่เอาไปยึดโยงกับกลุ่มอำนาจต่างๆ ทำให้ “ระบบ” ต่างๆ เสียหาย
⦁…ปัญหาของ “องค์กรอิสระ” น่าจะอยู่ที่ “ที่มา” ตอนที่มีองค์กรอิสระครั้งแรกๆ หลังรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี “คณะกรรมการสรรหา” คล้ายๆ กัน แต่ที่ต่างกันมากก็คือ หลังจากผ่านขั้นตอนสรรหาแล้ว ต้องไปขอ “ไฟเขียว” หรือความเห็นชอบจาก “วุฒิสภา” ซึ่งตอนนั้นมาจาก “เลือกตั้ง” ซึ่งนับว่า เชื่อมโยงกับประชาชนพอสมควร แต่มายุคหลังๆ สรรหาเสร็จ ส่งไปขอความเห็นชอบจาก วุฒิสภา ที่ “ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง” ก็เลยเกิดสภาพมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน
⦁…อีกจุดที่หลายคนขัดหูขัดตา คงจะเป็น “บทเฉพาะกาล” ที่กำหนดขั้นตอนพิเศษเอาไว้ใน 5 ปีแรก ที่เรียกกันว่า “สืบทอดอำนาจ” ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับยุคสมัย โดยเฉพาะ “อำนาจ ส.ว. 250 คน” ที่มีสิทธิโหวตออกเสียงรับรองหรือไม่รับรองบุคคลเป็นนายกฯ ทั้งที่ตามประเพณีที่ผ่านมา เป็นหน้าที่ของ “สภาผู้แทนฯ” บ้านเมืองไม่ได้มีวิกฤตการเมืองถึงขนาดจะต้องมีบทบัญญัติพิเศษแบบนั้น ทุกฝ่ายกลับเข้าที่ทางของตนเอง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด น่าจะเป็น “ทางออก” ที่ดีที่สุด จากการเมืองแบบ “ป่วนๆ” ที่ต่อเนื่องมาเป็นสิบปีแล้ว
กาแฟป่า
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่