ถึงหลายคนจะยังไม่สำนึกบาป แต่จำนวนหนึ่งก็อึ้ง ทึ่ง และเข็ดแล้วกับเผด็จการตัวจริงที่ปลอมปนมาบนสายพานประชาธิปไตย
ก่อนจะมีวันนี้ ใครประดิษฐ์วาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา”
บ้างก็ว่า พวกขี้แพ้ชวนตี ที่อดทนรอคอยไม่ไหว ประดิษฐ์วาทกรรมนี้ขึ้นมาจุดไฟเผาฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ลงเอยเผด็จการตัวจริงก็กระชากเอาอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย
การใช้ “เสียงข้างมาก” ลงมติ เป็นวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย แม้แต่องค์คณะผู้พิพากษาทุกศาลก็ต้องใช้ “เสียงข้างมาก”
ในรัฐสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร ในคณะกรรมาธิการต่างๆ ก็ลงมติด้วย “เสียงข้างมาก”
ไม่มีใครว่าเป็น “เผด็จการ” เพราะที่มาของ “เสียงข้างมาก” เหล่านั้นได้มาด้วยวิถีทางที่ชอบ ไม่ได้จี้ ไม่ได้ปล้น และไม่ได้ใช้กติโกงฉ้อฉลมาแล้วอวดอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก
“เสียงข้างมาก” ในระบอบประชาธิปไตยมีที่มาจากการใช้อำนาจของประชาชน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ “อำนาจอธิปไตย”
และคำว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริงนั้นก็ต้อง “ไม่ซ่อนเร้นอำพราง”
เช่น กติกาต้อง “ยุติธรรม” การกระทำก็ต้อง “ตรง” !
ถ้าหากเริ่มต้นด้วยความคด ไม่เคารพผู้อื่น ไม่ศรัทธาในความซื่อตรง กำหนดกติกาที่ฉ้อฉล เอาเปรียบ ผลที่ได้ก็ต้องคดงอ ไม่ตรง
คำว่า “เผด็จการรัฐสภา” ก่อนหน้านี้เป็นเพียงวาทกรรม ไม่ได้มีอยู่จริงก็เพราะ “เสียงข้างมาก” ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลนั้น มาจาก “การเลือกตั้ง”
“เสียงข้างมาก” เหล่านั้นจะถูกทบทวน ถูกท้าทายการเปลี่ยนแปลงจาก “เจ้าของอำนาจอธิปไตย”
ผู้นำรัฐบาลยุคก่อนนั้นอาศัย “มือ” ของผู้ที่ประชาชนเลือกมา
ไม่มี “250 มือ” ที่มาจาก “การแต่งตั้ง”
ไม่มี 250 เสียงเป็นทุนรอนที่พร้อมเพรียงกันยิ่งกว่ามีพรรคการเมืองสนับสนุน
แต่คราวนี้ แม้เผด็จการจะซ่อนรูปมาก็ไม่เห็นจะมีใครประดิษฐ์ “วาทกรรม” ที่สะท้อนความจริง
จึงได้ยินเสียงเพ้อล่องลอยมา
…ผมเข้าใจระบอบประชาธิปไตย ผมไม่เคยมีความสุขเลยในการเป็นนายกฯของประเทศไทย ผมเป็นห่วงประชาชน ถ้าผมไม่ดูแลแล้วใครจะดูแล…
เข้าใจหรือไม่ว่า ในระบอบประชาธิปไตย ทุกๆ 4 ปี เปลี่ยนรัฐบาลได้โดยสันติ !?!!