ไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีมติจะยื่นญัตติขอจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไข รัฐธรรมนูญ
หากแต่พรรคชาติไทยพัฒนาก็เป็นอีกพรรคหนึ่งที่ประกาศมติของพรรค
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ทั้งหมดนี้เป็นมติอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เท่ากับ 2 พรรคนี้ได้ก้าวไปบนหนทางเดียวกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน
เมื่อใดที่พรรคพลังประชารัฐแสดงความพร้อมในการยื่นญัตติจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญในลักษณะเดียวกันก็เท่ากับแสดงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือความจำเป็นร่วมในทางสังคม
ความจำเป็นนี้คือปรอทแสดงอุณหภูมิสำคัญทางการเมือง
ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 12 นโยบายเร่งด่วนที่แถลงในที่ประชุมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 163 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม
อันเป็นการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะต้องลงมือกระทำ ภายในอย่างน้อย 1 ปี
แต่ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ล้วนยืนยันตรงกันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ที่เร่งด่วนมากยิ่งกว่าคือปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่
คำว่าไม่เร่งด่วนความหมายก็คือไม่ควรเคลื่อนไหวในขณะนี้อันเท่ากับเป็นการติดเบรกโดยปริยาย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยพัฒนาเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วน
ท่าทีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา จึงสำคัญ
ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา เหมือนกับจะขัดกับท่าทีของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทั้งๆที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา กระทำตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา
อันเท่ากับเป็นการให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชน
อันเท่ากับทำตาม”สัญญาประชาคม”บนหลักการนโยบายเร่งด่วนด้วยความแน่วแน่มั่นคง
เกาะติดการเมือง กับ Line@มติชนการเมือง