ไม่ว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในงานสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ:ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน” ที่อิมแพค เมืองทองธานี
ไม่ว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในการมอบรางวัลอุตสาหกรรมประจำปี พ.ศ.2562 ที่ตึกสันติไมตรี
เป็นงานในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” อย่างแน่นอน
คำถามที่ตามมาก็คือ คำรำพึงที่ว่า “ไม่มีใครทำได้หรอกต่อให้เรียกไอ้คนที่อยู่เมืองนอกกลับมาก็ทำไม่ได้”
เป็นคำพูดในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” หรือไม่
เช่นเดียวกับประโยคที่ว่า “จะเอาผมแบบนี้หรือจะเอาผมแบบก่อน” เป็นคำถามถึงใคร
และเป็นการส่งสัญญาณ “อะไร” ในทางการเมือง
คำถามที่ตามมาหลังจากการพูดที่เมืองทองธานีในตอนเช้าและการพูดที่ตึกสันติไมตรีในตอนบ่ายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหตุปัจจัยอะไรถึงทำให้เกิดความหงุดหงิดอารมณ์เสีย
เป็นเพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมถึงไปเกาะสมุย ทำไมถึงไม่ไปอุบลราชธานี
เป็นเพราะปัญหาอันเนื่องจาก เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์
หรือเป็นเพราะในวันพุธที่ 18 กันยายน จะต้องเดินทางไปตอบคำถามของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152
ทั้งๆ ที่พยายามหลบเลี่ยงมาตลอดเดือนสิงหาคมในประเด็นว่าด้วย “ถวายสัตย์ปฏิญาณ”
จากความจำนนต่อสถานการณ์เช่นนี้เองจึงนำไปสู่การไม่ยอมพูดในเรื่องยุทธศาสตร์แม้จะอยู่ต่อหน้าบุคลากรภาครัฐ และการไม่ยอมพูดเรื่องอุตสาหกรรมทั้งๆ ที่เป็นงานแจกรางวัลในด้านอุตสาหกรรม
กลายเป็นการระบายอารมณ์ ระบายความหงุดหงิดในใจ
กระนั้น ภายในความหงุดหงิด ณ เบื้องหน้าสถานการณ์ความหวาดเสียวอย่างยิ่งยังอยู่ที่คำถาม
1 คำถามอันสะท้อนนัยประหวัดถึง “ไอ้คนที่อยู่เมืองนอก”
1 คำถามอันสะท้อนจิตใต้สำนึกลึก-ลึก “จะเอาผมแบบนี้ หรือจะเอาผมแบบก่อน”
นี่เป็นอารมณ์เดียวกันกับของ จอมพลถนอม กิตติขจร
ก่อนตัดสินใจ “รัฐประหาร” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514