“พรายพล” ร่อนจม.ถึง ส.ส.ท. เหตุตัดคอมเม้นต์ “เถียงให้รู้เรื่อง”ชี้เข้าข่ายจำกัดสิทธิ-ยอมอิทธิพลภายนอกครอบงำ

ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านแรงงาน ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ผู้แสดงความเห็นในรายการเถียงให้รู้เรื่อง ตอน “สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ?” ได้เผยแพร่จดหมายซึ่งส่งถึงประธานคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) กรณีมีการตัดต่อในส่วนของการแสดงความคิดเห็นของตนและนักวิชาการอีกรายหนึ่งออกไป โดยอ้างว่า เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง อันเกิดจากการที่นางสาวรสนา โตสิตระกูลหนึ่งในวิทยาการได้ทักท้วงหลังบันทึกรายการ ว่าการถกเถียงไม่เป็นธรรม เนื่องจากนักวิชาการที่แสดงความคิดเห็น ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

เนื้อหาในจดหมาย อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด และตั้งคำถามว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการนั้นก่อให้เกิด ”ความเป็นกลาง” หรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ ยังระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่าผู้บริหารไทยพีบีเอสที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง จึงขอให้พิจารณาข้อร้องเรียนและชี้แจงผลให้สาธารณชนได้ทราบ ซึ่งจะเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของไทยพีบีเอสซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้กลับคืนมา

ข้อความในจดหมายมีดังนี้

วันที่ 9 มิถุนายน 2559
เรียนประธานคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.

Advertisement

ตามที่ผมได้ไปบันทึกเทปสำหรับรายการชื่อ “เถียงให้รู้เรื่อง” ในประเด็น : สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ? ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของไทย PBS ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อตอนค่ำของวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2559 โดยผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์ ได้รับเชิญจากผู้จัดให้เข้าร่วมรายการในฐานะนักวิชาการ เป็น commentator ให้ความเห็นเพิ่มเติมจากการอภิปรายของวิทยากรหลัก 2 ท่านคือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล มีคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ เป็นพิธีกร และรายการที่บันทึกเทปนี้มีกำหนดออกอากาศผ่านช่องโทรทัศน์ของไทย PBS ในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559 นั้น

ต่อมาในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ของไทย PBS ซึ่งประสานงานการเชิญผมเข้าร่วมรายการดังกล่าวได้โทรศัพท์มาถึงผมและแจ้งให้ ทราบว่าในการออกอากาศรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ในคืนวันอังคารที่ 7 มิถุนายนนั้น สถานีจำเป็นต้องตัดส่วนที่เป็นความเห็นของนักวิชาการออกไปเพื่อให้เกิดความ เป็นกลาง ซึ่งผมก็ตอบไปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นและหากดำเนินการจริงก็จะ ทำเรื่องร้องเรียนผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ในการออกอากาศรายการในคืนนั้นก็ปรากฏว่าสถานีไทย PBS ได้ตัดส่วนที่เป็นความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ออกไปทั้งหมดจริง
ประเด็นจึงมีอยู่ว่าการตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการนั้นก่อให้เกิด ”ความเป็นกลาง” หรือไม่อย่างไร ผมได้รับเชิญเข้าร่วมรายการในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านพลังงานซึ่งได้ศึกษา และมีประสบการณ์ในการทำงานด้านพลังงานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ผมตระหนักดีว่าการให้ความเห็นของผมในฐานะดังกล่าวจะต้องยึดหลักการของการมี เหตุมีผล มีหลักวิชา และมีข้อมูลที่ถูกต้องสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่จำเป็นต้องเอาใจใครหรือตามใจใคร ไม่มีอคติเป็นการส่วนตัว และไม่เห็นแก่พวกพ้อง ผมเชื่อมั่นว่าผมได้ให้ความเห็นในรายการนี้โดยยึดหลักการดังกล่าวอย่างดีที่ สุดแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์ฐิติศักดิ์ก็คงยึดหลักการเดียวกัน ผมและอาจารฐิติศักดิ์จึงเปรียบเสมือนเป็น “คนกลาง” ที่ให้ความเห็นจากแง่มุมของวิชาการโดยแท้จริง ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจเลยว่าการตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการจะทำ ให้เกิดความเป็นกลางได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามการตัดความเห็นของ “คนกลาง” ออกไปกลับจะทำให้ความเป็นกลางด้อยน้อยลงไปเสียด้วยซ้ำ

ในกรณีที่ความเห็นของนักวิชาการทั้งสองคนเผอิญไปสนับสนุนความเห็นของวิทยากร หลักท่านใดท่านหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่ารายการจะไม่มีความเป็นกลาง และก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยากรหลักอีกท่านหนึ่งจะเสียเปรียบหรือ “โดนรุม” เพราะผมเห็นว่าพิธีกรก็เปิดโอกาสให้วิทยากรหลักทั้งสองฝ่ายสามารถชี้แจงตอบ โต้นักวิชาการและตอบโต้กันเองได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว ผมเห็นว่าไทย PBS ควรออกอากาศเนื้อหาสาระที่วิทยากรหลักและนักวิชาการได้นำเสนอไว้ในการบันทึก เทปอย่างครบถ้วน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชมรายการสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่ เชื่อใครโดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลของแต่ละฝ่าย สำหรับผู้ชมรายการที่มีใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่คน 3 คนเห็นตรงกันแต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ย่อมไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าความเห็นของคนคนเดียวที่มีเหตุผลและข้อมูลสนับ สนุนอย่างหนักแน่น

Advertisement

ผมได้ทราบมาว่าการที่ไทย PBS ตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการที่ได้ออกอากาศในวันนั้น เนื่องมาจากว่ามีวิทยากรหลักท่านหนึ่งไม่พอใจที่นักวิชาการทั้งสองคนมีความ เห็นขัดแย้งกับความเห็นของตน และมองไปว่าการอภิปรายโต้เถียงกันมีลักษณะที่ตนถูกรุมโจมตี (ในทำนอง “สามรุมหนึ่ง”) จึงได้ติดต่อไปทางสถานีเพื่อให้แก้ไขตัดต่อเทปสำหรับการออกอากาศซึ่งจะทำให้ ข้อเสนอและความเห็นของตนมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยวิธีการตัด ความเห็นของนักวิชาการออกไปในที่สุด

ผมได้ทราบมาด้วยว่า ในเบื้องแรกวิทยากรหลักท่านนี้ได้ขอให้ไทย PBS บันทึกเทปรายการใหม่ แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย PBS ในเย็นวันที่ 7 มิถุนายนโดยมีผู้บริหารของสถานีให้การต้อนรับเป็นพิเศษและพาเข้าไปถึงในห้อง ปฏิบัติงานเพื่อกำกับการตัดต่อเทปรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ที่กำลังจะออกอากาศในคืนนั้นด้วย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าวิทยากรหลักท่านนี้มีอิทธิพลและอำนาจมากล้นจนทำให้ สามารถกดดันให้ผู้บริหารไทย PBS ยอมโอนอ่อนผ่อนตามและถูกแทรกแซงการทำงาน อันเป็นผลทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาการออกอากาศตามความต้องการของวิทยากรหลัก ท่านนี้ หากเหตุการณ์นี้เป็นจริง ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อิทธิพลและอำนาจโดยบุคคลที่บ้าอำนาจ เห็นแก่ตัว มีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และสังคมไม่ควรให้การยอมรับนับถือ

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะ สม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่าผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรม วิชาชีพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในข้อบังคับที่ให้ความสำคัญกับความเที่ยงตรง ความเป็นธรรม และความเป็นอิสระของวิชาชีพ ไทย PBS ในฐานะองค์กรก็คงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสถาบันสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์ สังคม คุณภาพ และคุณธรรมได้อีกต่อไป ความเชื่อมั่นในการเป็นสถาบันสื่อที่มีความเป็นอิสระเพราะได้รับงบประมาณ จากรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐก็จะเสื่อมถอยลงในที่สุด
อนึ่ง การไม่ยอมให้ความเห็นทางวิชาการของผมได้รับการเผยแพร่ น่าจะเข้าข่ายการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทาง วิชาการอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญของไทย เกือบทุกฉบับ

ดังนั้น ผมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ให้สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลที่ทำให้ความเห็นของผมและ อาจารย์ฐิติศักดิ์ถูกตัดออกจากรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ซึ่งออกอากาศในคืนวันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2559 และหากพบว่ามีการปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพ ก็ให้ดำเนินการตามระเบียบวินัยขององค์กรต่อไป พร้อมทั้งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องในการทำงานเช่นนี้อีกในอนาคต
ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมทราบว่าในกรณีที่ผมร้องเรียนนี้ ไทย PBS ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบผ่านโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ผมจึงหวังว่าคณะกรรมการฯ จะสามารถพิจารณาข้อร้องเรียนของผมได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และชี้แจงผลการพิจารณาให้สาธารณชนได้ทราบ อันจะเป็นการกอบกู้ฟื้นฟูให้ไทย PBS มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นและสามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์ สังคมได้อย่างแท้จริง

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
(นายพรายพล คุ้มทรัพย์)
สำเนาส่ง ผู้อำนวยการ และกรรมการทุกท่านในคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image