อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดี “พิชัย” กรณีพลังดูด ส.ส. 4.0 ชี้เฟคนิวส์ในกรมประชาฯ ผิดชัดเจนกว่า
เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีนัดหมายของสำนักงานอัยการในวันนี้ ตนได้มอบอำนาจให้นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ เเละ นายยอดชาย ศีลนำสุข ทีมทนายความให้เดินทางมาฟังคำสั่ง
ซึ่งภายหลังฟังคำสั่งในกรณีคดีของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พิชัย นริพทะพันธุ์ ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหา พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศฯ กรณีโพสต์เฟซบุ๊กภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนิตยสาร Time กับข้อความ ห้ามจำหน่ายในประเทศไทย และภาพการดูด ส.ส. 4.0 เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.61 ทางพนักงานอัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไปเป็นวันที่ 29 ต.ค.2562
นายพิชัยกล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับ 3 แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่อัยการมีคำสั่งไม่สั่งฟ้อง ส่วนในคดีของตนที่เลื่อนการออกคำสั่งออกไปนั้น ก็อยากให้สำนักอัยการได้พิจารณาว่าในเรื่องการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น เรื่องหน้าปกนิตยสารไทม์ที่บอกว่าไม่มีจำหน่าย และขณะนั้นก็ไม่มีจำหน่ายจริง ไม่น่าจะเป็นปัญหา
เทียบไม่ได้เลยกับเรื่องที่รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ได้ออกมาแฉและร้องเรียนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เรื่องการสั่งให้ลูกน้องในสังกัดลงข่าวข้อมูลเท็จ เพื่อให้ร้ายพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล โดยใช้สื่อของรัฐ และมีหลักฐานการสั่งงานในไลน์กลุ่มของผู้บริหารกรมประชาสัมพันธ์ชัดเจน โดยลูกน้องก็ได้ดำเนินการนำข่าวที่น่าจะเท็จลง และนำมารายงานอธิบดีในไลน์กลุ่มนี้ด้วย โดยมีหลักฐานชัดเจนอีกเช่นกัน และสื่อก็ได้ตรวจสอบว่ามีข่าวเท็จดังกล่าวปรากฏจริงในสื่อของรัฐ
และเรื่องนี้ได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช.และ กกต.แล้ว โดยน่าจะต้องมีการดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำผิด ส่วนเรื่องการดูด ส.ส.นั้น ขณะนี้มีกระแสข่าวว่ามีการพยายามดึง 14 ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยเข้าฝ่ายรัฐบาล ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ดังนั้นการพูดถึงการดูดผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งยังไม่ได้เป็น ส.ส.เลยในขณะนั้นจะผิดได้อย่างไร ในขณะที่มีการดูด ส.ส.ที่ชนะการเลือกตั้งแล้วในขณะนี้ จึงอยากให้สำนักอัยการ และประชาชนทั่วไปได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ และประเทศนี้ควรมีหลักเกณฑ์อย่างไร