หากมองสายสัมพันธ์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีความแนบแน่นอย่างยิ่ง เมื่อมีข่าวอันเกี่ยวกับกรณี “งูเห่า”
การที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะตอบคำถามของนักข่าวว่า
“เรื่องนี้ต้องถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”
ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใดในทางการเมือง
เพราะว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ในสถานะอันเป็นประธานยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ และการดึงคนเข้ามาเพิ่มในพรรคพลังประชารัฐก็เป็นยุทธศาสตร์สำคัญอยู่แล้ว
แล้วเหตุใด นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลจึงต้อง ออกมาปฏิเสธ
เรื่องเล็กๆจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาโดยพลัน
เจตนาของการออกมาปฏิเสธคำพูดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สามารถเข้าใจได้ เพราะ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ต้องการกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกไป
“ยืนยันว่าประธานยุทธศาสตร์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ”
แต่ที่ก่อให้เกิดเป็นข้อกังขาอย่างมากก็อยู่ตรงประโยคที่ยืนยันอีกด้วยว่า
“การที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกมาพูดเช่นนี้อาจเกิดจาก ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาดูแลยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ
เพื่อดูแลในเรื่องการเลือกตั้งและทำให้พรรคแข็งแกร่งมีประสิทธิภาพในการทำงานให้ประชาชน”
ด้านหนึ่ง คำแถลงนี้อาจสามารถกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกไปเพราะ “การทำเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย”
กระนั้น ด้านหนึ่ง ก็ทำให้เห็นถึงสถานะของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ภายในพรรคพลังประชารัฐ
นั่นก็คือ อาจมิได้เป็น “เส้นเลือด” ไปหล่อเลี้ยงหัวใจอีกแล้ว
กรณีอันเกี่ยวกับ “งูเห่า” จึงฉายสะท้อนการแปรเปลี่ยนภายในโครง สร้างภายในของพรรคพลังประชารัฐออกมาอย่างเด่นชัด
อาจเนื่องจาก เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์
อาจเนื่องจากสภาวะรวนเรเพราะกรณีวุฒิบัตร “ปริญญาเอก” และทีมงานแวดล้อม
แม้ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะเคยถือ” ใบสมัคร” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐก็ตาม
