ช่วงเทศกาลกลับบ้านไปเลี้ยงหลานมาถึงแล้ว สิ้นเดือนกันยายนนี้เป็นวันเกษียณอายุราชการประจำปีของผู้ที่อายุครบ 60 บริบูรณ์ ขณะเดียวกัน 1 ตุลาคมเป็นต้นไป จะเป็นวันเริ่มต้นอำนาจหน้าที่ใหม่ของคนที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
ในแวดวงตำรวจ ที่มือข้างหนึ่งถือกฎหมาย มืออีกข้างถือปืน และมีภารกิจเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไปมากที่สุด
พอเข้าสู่วันที่ 1 ตุลาคม หมายถึงการทำสถิติใหม่ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา บนเก้าอี้ ผบ.ตร.
ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 ซึ่งไม่ง่ายนักสำหรับวงการนี้ ส่วนใหญ่ก็แค่ปีสองปีหรือสามปีก็เก่งมากแล้ว
แต่สำหรับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขึ้นปีที่ 5 แล้ว เมื่อถึงวันที่ 30 กันยายน ปีหน้า 2563 จะเท่ากับอยู่ได้ครบ 5 ปีเต็ม
ระดับที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สีกากีเลยทีเดียว
เมื่อดูลีลาการนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ 4 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่า โอกาสจะป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ในปีสุดท้าย น่าจะไม่ยากเกินไปนัก
ส่วนหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่บริหารองค์กรให้ครบถ้วนรอบด้าน อีกส่วนก็ต้องสร้าง
ผลงานในฐานะผู้นำตำรวจ เช่น เป็นผู้นำทีมคลี่คลายคดีใหญ่ๆ สะเทือนสังคม ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์มีผลงานในด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ที่ต้องมองกันต่อไปว่าใครจะมารับเก้าอี้ ผบ.ตร.ต่อจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่จะครบเกษียณในปีหน้า 2563
โดยระดับรอง ผบ.ตร.ที่ต้องจับตามอง ซึ่งผู้ที่ครบเกษียณ 3 ราย ได้แก่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล และ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม
แล้วที่เข้าเป็นรอง ผบ.ตร.ใหม่มี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จากจเรตำรวจแห่งชาติมาเป็นรอง ผบ.ตร.หลัก ที่ขึ้นใหม่จากผู้ช่วย ผบ.ตร.คือ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
รวมทั้ง พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร ที่ขึ้นมาเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ
ส่วน 2 รอง ผบ.ตร.เดิมที่ยังไม่ถึงวาระเกษียณคือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา และ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย
เร็วๆ นี้คงจะมีการมอบอำนาจหน้าที่และสายงานให้กับรอง ผบ.ตร.ชุดใหม่ ซึ่งจะได้เห็นแนวโน้มว่าใครจะมีบทบาทมากน้อยอย่างไรในช่วงปีหน้านี้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการเป็น ผบ.ตร.
สำหรับยุทธจักรสีกากียุคนี้ มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาดูงานตำรวจเอง
ผลงานแรก คือ กำกับดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายนายพลประจำปี ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ จัดโผด้วยตัวเองแล้วนำเข้าที่ประชุมที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำหน้าที่ประธานการประชุม ก.ตร.นัดแรก
เรียบร้อยลงตัว เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา คือก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม ไม่มีโรคเลื่อนเหมือนที่ผ่านๆ มา
วงการตำรวจก็ชอบอกชอบใจ เพราะระดับถัดๆ มาจะไม่ยืดเยื้อ น่าจะเป็นไปตามกรอบเวลาได้ทั้งหมด
ได้หน้าได้ตาไปทั้งนายกฯและ ผบ.ตร.
ทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำตำรวจคู่นี้ดูจะไปกันได้ด้วยดี ซึ่งในปีหน้าก็คงจะได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ ใครจะเป็นผู้นำตำรวจคนต่อไป
ผู้รอบรู้เขาบอกว่า เอาชื่อ “2 ส.” กับ “1 ว.” แปะบนข้างฝาเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน