The Motorcycle Diary ตามติดชีวิตผู้แทนราษฎร ชื่อ เท่า(พิภพ)

The Motorcycle Diary ตามติดชีวิตผู้แทนราษฎร ชื่อ เท่าพิภพ

เท่าพิภพ – เมื่อถึงสถานที่นัดหมาย เขาออกมาจากประตูกระจกของตึกแถวหลังหนึ่งเพื่อเรียกเรา

ตึกแถว บนถนนเจริญนคร เบื้องหน้าอยู่ระหว่างการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง ที่กำลังจะกลายเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ย่านคลองสาน รวมไปถึง “หอชมเมือง” ตึกสูงถึง 459 เมตi โครงการในอนาคตที่ภาครัฐวาดฝันให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร

ในวันที่ไม่มีประชุมสภาฯ เราได้ขอติดตาม เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.หนุ่มคราฟต์เบียร์ ผู้แทนราษฎรเขตคลองสาน ธนบุรี บางกอกใหญ่สมัยแรก จากพรรคอนาคตใหม่ มารับฟังเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนในพื้นที่ที่เขาได้รับมา ทั้งจากโทรศัพท์ส่วนตัว รวมไปถึงเรื่องที่ถูกส่งผ่านมาจาก https://www.futurecommunity.co/hc/th เว็บไซต์ที่พรรคอนาคตใหม่เปิดไว้เป็นช่องทางสำหรับการร้องเรียนโดยเฉพาะ

จาก 7.9 แสนก้าว ปั่นจักรยาน 300 กิโลฯ ในระหว่างการหาเสียง มาวันนี้ “เท่าพิภพ” ในฐานะ ส.ส.ใช้มอเตอร์ไซค์ซูปเปอร์คัพคันเก่าเป็นพาหนะสำหรับการไปประชุมสภาฯ เช่นเดียวกับวันนี้ที่เขาขี่เจ้าสองล้อคู่ใจจากบ้านมาจอดไว้ที่โครงการ The Jam Factory สถานที่สุดชิคริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่จะเดินเท้าไปปฏิบัติภารกิจ

Advertisement

​จากบ้านอาม่า ย่านคลองสาน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างในยามวิกาล เขาพร้อมผู้ช่วยอีก 2 คนสะพานเป้ คนหนึ่งถือหมวกกันน็อค พาเราเดินเท้าไปติดตามความคืบหน้าการต่อสู้ของ 44 ครัวเรือนในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 7 ย่านท่าดินแดง ชุมชนชาวจีนเก่าแก่กับการมาของคอนโดหรู หลังจากที่เขาเคยนำเรื่องนี้เข้าไปหารือต่อสภาฯเพื่อขอส่งต่อความเดือดนี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ

หลังจากเสร็จกิจประจำวัน “เท่าพิภพ” พาเราเดินกลับมาละแวกคลองสานอีกครั้ง

นั่งหน้าร้าน “ธงชัย” ร้านขายของชำเก่าแก่ ตรงหัวมุมซอยเล็กๆในตลาดท่าน้ำคลองสาน ที่นั่งประจำ ไม่ไกลจากจุดที่มอเตอร์ไซค์ของเขาจอดอยู่ มาล้อมวงนั่งโต๊ะไม้เผย “ไดอารี” ส่วนตัว เล่าเรื่องราวที่ประกอบสร้างมาเป็นเขา โดยมีเฮียเจ้าของร้านธงชัยร่วมวงแบบไม่ห่าง

Advertisement

จากวัยเด็ก สู่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เป็นชายหนุ่มผู้มีความฝัน จนถึงการเป็นอาชญากร สู่ผู้แทนราษฎรในวัยเพียง 30 ปี

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

-เป็น ส.ส.ของคนเขตนี้มาหลายเดือน มุมมองต่อพื้นที่ในวันนี้ต่างจากตอนหาเสียงแค่ไหน ?

ระหว่างหาเสียงส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง เราเดินตลาด ริมฟุตบาท ก็ได้รับเสียงสะท้อนจากคนค้าขาย แต่พอมาเป็น ส.ส.กลายเป็นว่า เรื่องความเป็นอยู่ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องใหญ่ของคนฝั่งธนบุรี เพราะเขากำลังเผชิญอยู่กับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง จากการพัฒนาที่มากับแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้มีห้างนั้นมาเปิด คอนโดนี้มาสร้าง จากการเคยชินกับความสะดวก วันนี้วิถีมันเปลี่ยนไปเร็ว อยู่ๆรถก็ติด หลังบ้านมีตึกสูงมาสร้าง หรือเกิดความรู้สึกว่า ไม่ปลอดภัยจากการเอารัดเอาเปรียบ ผมมาเป็นส.ส.ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านระหว่างการปรับตัวของคนแถวนี้พอดี เป็นเรื่องของเวลา บางคนปรับตัวได้เร็ว บางคนปรับได้ช้า ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน

-ในเมื่อปัญหาของทุกคนใหญ่เสมอ การทำงานโดยมีผู้ช่วยแค่ไม่กี่คน ถือว่าทำงานได้ไหม ?

จริงๆตามอำนาจ ตามงบประมาณ งานของส.ส.โดยที่ไม่มีทีมที่เป็นส.ก.ในพื้นที่ถือว่า ยากนะ แต่สิ่งที่เราทำได้เลย คือ เป็นกระบอกเสียง เป็นคนกลาง พยายามทำให้ทุกข์ที่ประชาชนสะท้อนมาให้เป็นที่รับรู้ต่อสังคม พูดง่ายๆคือ เป็นแบ็ก ทำให้เสียงของเขาดังขึ้น โดยไม่ได้ไปต่อต้านการพัฒนานะ แต่ผมอยากทำให้ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ มันสมูธที่สุดสำหรับทุกคน ผมยังถือว่า มีความโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง หากเทียบกับส.ส.พรรคอนาคตใหม่ด้วยกันในเรื่องความสัมพันธ์กับเขตถือว่า ดีในระดับหนึ่ง

บ้านอาม่า บนถนนเจริญนคร ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองในยามวิกาล

-จากบ้านอาม่า ไปย่านท่าดินแดง พอรับฟังปัญหาแล้ว คิดว่าความเดือดร้อนเหล่านี้มันสะท้อนอะไร ?

ต้องยอมรับว่า เมื่อความเจริญเข้ามา มันมีคนได้รับผลกระทบแน่นอน แต่กระบวนการเยียวยา และการป้องกัน ถ้าทำได้ก็จะดีกับทุกคน อย่าลืมนะ คนที่รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม เขาจะกลัวการโดนเอาเปรียบ กลัวว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา เขาจะรู้สึกว่า มันไม่ปลอดภัยเวลาต้องต่อสู้กับทุน นี่เป็นปมที่สะท้อนปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย ทั้งๆที่กฎหมายควรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเสมอหน้ากันอย่างเท่าเทียม ไม่มีข้อยกเว้น เรื่องนี้เกิดขึ้นทุกที่ เป็นความไม่แฟร์ที่เป็นสิ่งผิดปกติ แต่มันกลายเป็นความปกติในสังคมไทยที่คนรับรู้กันทั่วไปว่า ใช่สิ! มีเส้นก็ทำได้ อะไรแบบนี้จึงทำให้คนเข้าหาส.ส. เพื่อให้ผู้แทนของเขามายืนอยู่ข้างหลังในระหว่างทาง อย่างน้อยๆก็เป็นกำลังใจให้กันในระหว่างที่ต้องเผชิญอยู่กับปัญหาจากความไม่เสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ผมเข้าใจนะ รู้สึกดีด้วยซ้ำ เวลาเขามีปัญหามาบอกเรา แสดงความเขาไว้ใจเรา เพราะเสียงของเราทำให้อะไรก็ตามที่มาพร้อมกับความเจริญแล้วสร้างผลกระทบเกิดขึ้น ต้องมีการรับผิดชอบ ห้ามมาลักไก่

-มาหลงไหลอะไรในฝั่งธน ?

เคยเป็นไกด์มาก่อน มาสัมผัส เห็นพื้นที่ตรงนี้มาเยอะมาก เข้ารูนั้น ออกซอยนี้ ก็อยากให้มันเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เพราะมีเสน่ห์มาก อยากให้คนมาเที่ยว กระจายรายได้จริงๆ ส่งเสริมการใช้จักรยาน อยากให้ในเขตมันเจริญเติบโตแบบไม่ส่งผลกระทบมากเกินไปกับคนพื้นที่ ที่สำคัญของกินก็อร่อย เคยกินไหม หมี่กระเฉด ฉอเล้ง ตลาดพูล เด็ดมาก เฝอหม้อไฟ ตรงรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ พูดถึงนี่ น้ำลายไหลเลยนะ แค่เดินผ่านกลิ่นน้ำซุปลอยมาแล้ว (หัวเราะ)

-ย้อนกลับไปทำไมถึงตัดสินใจเลือกลงเลือกตั้งเขตนี้ ?

เอาจริงๆแล้ว ผมอยากลงที่ไหนก็ได้ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าของพื้นที่มาอย่างยาวนาน ถามว่า ทำไม ก็มันท้าทายดี

-ชนะแล้วพูดแบบนี้ เอาเท่ปะถามจริง ?

ที่คิดแบบนี้ เพราะรู้ไงว่า ลงแล้วมันไม่ชนะหรอก เมื่อมันคิดว่า ไม่มีโอกาส ในวันที่พรรคให้โอกาสเด็กอายุ 29 ได้ลงส.ส. อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตก็ได้นะ เลยอยากให้โจทย์ในการลงส.ส.เป็นเรื่องยากที่สุดไปเลย แต่ผลก็มามันชนะเฉย ได้สามหมื่นกว่าคะแนน  1 ใน 26 ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ มีผมคนเดียวที่เป็น ส.ส.เขต

การต่อสู้ของ 44 ครัวเรือนในซ.สมเด็จเจ้าพระยา 7 ย่านท่าดินแดง กับการมาของคอนโดหรู ปัญหาที่ “เท่าพิภพ” เคยนำไปหารือต่อที่ประชุมสภาฯ เพื่อส่งต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

-เคยวิเคราะห์หรือเปล่าว่า ทำไมถึงล้มประชาธิปัตย์ได้ ?

ประเมินเองจากการลงพื้นที่ทั้งเดิน ปั่น แล้วก็ขี่ด้วย รู้สึกว่า หลายปีที่ผ่านมา คนอยากเปลี่ยนนะ เบื่อคนเก่าอยากได้อะไรใหม่ๆ หากจะต้องให้สู้กับคนเก่า สู้กับเขตที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะ มีโอกาสชนะกว่าต้องไปสู้กับเขตที่พรรคเพื่อไทยชนะ ทุกคนรู้ว่า ฐานเสียงเพื่อไทยถือว่า แข็งมาก โคตรยากเลยที่จะเอาชนะ อีกอย่างการเกิดขึ้นของกปปส.มันคือข้อด่างที่ทำให้คนเอือม คนเบื่อพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วๆมาที่แม้ใครจะไม่ได้ชอบประชาธิปัตย์ แต่เพราะไม่ชอบเพื่อไทย จึงต้องจำใจเลือกประชาธิปัตย์ จุดนี้มีเยอะ จึงทำให้มีโอกาสมากกว่าเขตที่เพื่อไทยชนะ

คิดแบบนี้ก็จริงนะ แต่ลงสนามก็ยังไม่ได้หวังอะไรหรอก จนกระทั่งจุดเปลี่ยนมาถึง เมื่อพรรคไทยรักษาชาติโดนยุบ ผมดีดนิ้วเลย ได้แน่นอน แล้วยิ่งแคมเปญในช่วงโค้งสุดท้ายเมื่อคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าประชาธิปัตย์ประกาศไม่เอาลุงตู่ ขณะที่ พลังประชารัฐสู้ด้วยการประกาศว่า เลือกความสงบจบที่ลุงตู่ มันเข้าทางเราจริงๆ เพราะต้องยอมรับว่า ฐานเสียงของประชาธิปัตย์ กับพลังประชารัฐ เขาดึงกันเอง จริงไหมเฮีย

เฮีย : “ที่นี่ประชาธิปัตย์ผูกขาดมายาวนาน เอาคนดังแค่ไหนมาลงก็แพ้หมด คุณเท่าถือว่า แปลก ชนะได้ พ่อแม่คงปลื้มใจ”

-ก่อนลูกชายได้เป็น ส.ส.เคยเป็นอาชญากรมาก่อนนะ โดนจับตอนทำคราฟต์เบียร์ ?

เฮีย : (หัวเราะ)

เท่าพิภพ : ใช่ แต่ตอนนั้นเขาก็แอบภูมิใจนะ เพราะพอเรื่องมันเกิด มันกลายเป็นฟีดแบคสังคม กลายเป็นการจุดประการ พ่อบอกว่า นี่มันเปลี่ยนประเทศได้เลย ผมต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้สนับสนุนให้ใครดื่มนะ แต่เรื่องเบียร์กับที่บ้านเป็นเรื่องธรรมดามาก พ่อเป็นนักเรียนเยอรมัน เขาชอบเล่าว่า ที่นั่นเบียร์มีทุกหมู่บ้าน เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ผมเลยโตมากับเรื่องเล่าที่ว่า เบียร์เป็นเรื่องเป็นไปได้ที่ใครจะทำก็ได้ ไม่ใช่ว่า การทำเบียร์จะต้องเกิดจากโรงงานใหญ่ๆอย่างที่หลายคนคิด พอเราโตมา ได้กินเบียร์แล้วรู้สึกว่า เห้ย! อร่อยวะ

ยิ่งตอนพี่ชายได้รางวัลจากการเขียนบทความไปประกวด How to change the world แล้วได้รางวัลไปเที่ยวรอบโลกกันสองคนพี่น้องตอนผมเรียนจบพอดี ได้ไปเยอะเลย โตเกียว นิวยอร์ก โจฮันเนสเบิร์ก เวียนนา มุมไบ เปิดโลกเราเลย ทริปนี้แหละ ได้ไปลองเบียร์ตัวหนึ่งตอนไปนิวยอร์ก เป็นผลไม้ จำยี่ห้อไม่ได้ แต่จำความรู้สึกได้ว่า มันตื่นเต้นมาก เป็นความรู้สึกเหมือนเดินข้ามเขาแล้วบังเอิญไปเห็นทะเล เอ้ย! มันสวยวะ อะไรแบบนั้นเลย

-เพราะแบบนี้เปล่า เลยไม่ยอมไปเป็นทนายทั้งที่จบนิติศาสตร์ ?

ทำๆ เรียนจบมาก็ไปเป็นนิติกร บริษัทยักษ์ใหญ่เลย วันนั้นเป็นทุนเต็มตัว ไปยึดที่ชาวบ้านด้วย (หัวเราะ) จนมาเจอเหตุการณ์หนึ่ง มีคู่กรณีเป็นลุงแก่ๆ เดินเท้าเปล่าเข้าห้องพิจารณาคดีมา เพราะลุงแกใส่รองเท้าเตะมา เลยต้องถอดไว้ พอศาลให้พูดว่า เขาจะพูดความจริง โดยให้อ่านตามกระบวนการก่อนที่จะเริ่มพิจารณา แต่ลุงเขานิ่ง แล้วแกก็บอกศาลว่า แกอ่านไม่ออก ศาลก็ให้เราในฐานะทนายฝ่ายโจทก์ไปอ่านนำให้ลุงเขา วันนั้นผมตัวเย็นเลย รู้สึกไม่ดี มันเกิดคำถามเลยว่า ลุงไม่รู้หนังสือ แล้วเซ็นสัญญาไปได้ยังไง มันไม่ใช่ความคิดเปลี่ยนแปลงประเทศนะ แต่รู้สึกว่า ใครจะทำก็ทำ กูไม่อยากทำแล้ว เพราะนอกจากรับรู้ว่า ความไม่เป็นธรรมมันมีอยู่จริง เรายังกลายเป็นฟันเฟืองหนึ่งของปัญหาอีก แม้จะเงินดี แต่มานึกภาพตัวเองตอนอายุ 60 แล้วมันรู้ว่า จะปล่อยให้ตัวเองเป็นภาพที่เรานึกไม่ได้ มันดาร์กเกินไป อยู่ไม่ถึง 2 ปีก็ลาออก

เฮียเจ้าของร้านกับโต๊ะไม้เก่าๆ หน้าร้านธงชัยที่ “เท่าพิภพ” บอกว่า หากผ่านมาแถวนี้ก็จะมานั่งพักที่นี่เป็นประจำ

-จริงๆ เป้าหมายชีวิตก่อนเข้ามหาวิทยาลัยอยากเรียนอะไร ?

เด็กๆอยากเป็นนายอำเภอ ผมโตมากับแฟลตทหารนะ แม่เป็นพยาบาลทหาร พ่อทำงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เลยได้ติดรถพ่อไปราชการต่างจังหวัดบ่อย ได้เห็นมุมกว้าง แล้วรู้สึกว่า ประเทศเราดีกว่านี้ได้ โดยที่ไม่รู้หรอกว่า การเป็นนายอำเภอมันทำอะไรไม่ได้หรอก ติดเกมไง ชอบเล่นซิมซิตี้ สร้างมุมมองวางผังเมือง พอโตมา อยากเรียนนิเทศฯ ไปสอบหมด แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่า นิติศาสตร์กับกับรัฐศาสตร์ มันต่างกันอย่างไร ไม่รู้จริงๆ สุดท้ายติดนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ถามว่าชอบไหม ผมชอบในความเป็นนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชอบแนวคิด ชอบเสรีในการพูด ส่วนวิชานิติศาสตร์เรียนๆไปก็โอเค มันสอนระบบคิดการใช้เหตุผล มองอะไรเป็นระบบ ทำให้ความคิดเราแข็งแรงมากขึ้น แต่ไม่ได้อินแบบที่อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล คนนั้นเขาอินจัดเลย (หัวเราะ)

สมัยเรียนผมถือเป็นเด็กกิจกรรม เรียน 4 ปี ผมทำค่ายสร้าง 9-10 ครั้ง ถือเป็นสถิติคณะอยู่นะ สนุก เราควรอยู่ในบรรยากาศแบบอยากเปลี่ยนโลกบ้าง อยู่แต่ตัวเองไม่ได้หรอก แล้วยิ่งเด็กที่จบคณะผม วันหนึ่งมันจะต้องมีอำนาจ ความรู้สึกที่ว่า เราต้องยึดโยงกับประชาชน จึงสำคัญมาก เป็นมุมมองที่ผมได้รับและส่งต่อให้น้องๆ แต่บางคนถ้าไม่อินก็คือไม่อินนะ อย่างตอนเรียนเคยทำค่ายหนึ่ง เป็นธีมให้อิสระเลยมาก เป็นยูโทเปีย ใครทำอะไรก็ไม่มีกฎอะไรทั้งสิ้น มันก็จะมีสาวชิกๆของคณะไปกัน เพื่อให้มีในพอร์ตตัวเองว่า เขาเคยไปค่ายสร้าง แล้วเขาก็ไปวันเดียวแล้วก็ไปเที่ยวนิมมานกัน เขาไม่อินยังไงมันก็ไม่อิน บังคับกันไม่ได้

-หลังลาออกจากนิติกร กว่าจะมาโดนจับเพราะต้มเบียร์ขาย นี่ผ่านอะไรอีกมาบ้าง ?

ก็ถามตัวเองแหละว่า ชอบอะไร ได้ข้อสรุปว่า เราชอบเที่ยว ก็ลาออกเลย เอาเงินเก็บที่มีไปเที่ยว ปั่นจักรยานจากกทม.ไปอุบล บ้านพ่อโดยไม่ใช้เงินเลย นอนวัน กินข้าววัด แล้วก็ไปเป็นไกด์อยู่ภาคใต้ อันดามัน สิมิลัน ตาชัย ไปเกาะ ดำน้ำทุกวัน ชีวิตโคตรดี พอหมดซีซั่น มีบาร์แห่งหนึ่งที่เอกมัยเปิด จึงไปสมัครเป็นเบียร์เทนเดอร์ตอนกลางคืน ตอนนั้นความคิดทำเบียร์เองเกิดขึ้นแล้ว ทำงานได้สักพัก เพื่อนๆเรียนนอกกลับมา ทำงานได้เงินโคตรเยอะเลย แล้วเราทำอะไรอยู่ ทำอย่างที่ชอบตามใจตัวเองไม่ค่อยมั่นคงเลย ชีวิตมันคืออะไร มันเป็นคำถามขอบคนอายุ 25 นะ เคยเป็นเปล่า นี่เลยต้องทำ 2 งาน กลางคืนทำบาร์ กลางวันก็เป็นไกด์ปั่นจักรยานที่ข้าวสาร มาปั่นแถวนี้แหละ กุฎีจีน สะพานพุทธ ทำงานให้มีรายได้อยู่ได้ พอวันหยุดก็ทำเบียร์ กินเล่น เพราะเริ่มได้เห็นกระบวนการจากบาร์ แม้เขาจะไม่ได้ต้ม แต่มีเบียร์เยอะ ได้เรียนรู้สไตล์จากการเปิดเว็บ ดูยูทูบ แลกเปลี่ยนกับลูกค้า สั่งสมมาเรื่อยๆ จนตัดสินใจไปเวิ้งนาครเกษมซื้ออุปกรณ์ลองทำดู

-นานไหมกว่าจะมาเป็นเท่าพิภพเบียร์ ?

ทำงานที่บาร์อยู่ประมาณ 1 ปี ก็มีความรู้สึกว่า ต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เลยออกมาเช่าตึก ต้มเบียร์เถื่อนเลย เอาหน่อยวะ ไหนๆก็ไหนๆละ เพราะตอนนั้นผมก็เป็นส่วนของวงการคราฟต์เบียร์แล้ว ต้มไปต้มมา คนบอกอร่อย เริ่มมีคนสั่ง ก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันนี้แหละไปส่งเบียร์ วันที่ผมโดนจับก็เปิดพื้นที่ให้วัยรุ่นทำกิจกรรมกัน ต่อมาก็เปิดร้านที่นี่แหละ ตึกที่เช่าต้มเบียร์

จริงๆ ผมรู้อยู่แล้วว่า วันหนึ่งต้องโดนจับ ตั้งใจกับหุ้นส่วนไว้แบบนี้ว่า เราจะเล่นคราฟต์เกม ในฐานะผู้เล่นที่ติด 1 ใน 10 ของโลกให้ได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงสิ่งนั้นได้ เราจะต้องมีสตอรี่ที่เข้มแข็ง เมื่อทำในประเทศไม่ได้ พอโดนจับก็ต้องไปทำเมืองนอก คิดกันแบบนี้เลย พูดแบบนี้ดูเท่ไหม (หัวเราะ)  แต่พอมาโดนจริง มันเป็นประเด็น ตัวเรากลายเป็นมูฟเมนต์ ทั้งๆที่เราคิดภาพไว้แค่เป็นสตอรี่ของแบรนด์เรา ไม่คิดว่า จะเป็นข่าว เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้

พบกับผู้ร้องเรียนผ่านเว็บ https://www.futurecommunity.co/hc/th โดยบังเอิญ จากปัญหาทางเบี่ยงบีบช่องจราจรจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองบนถ.สมเด็จเจ้าพระยา ปากซอยวัดทองธรรมชาติ โดยไม่มีป้ายบอก จนเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง

-ถามจริงๆ แบรนด์เท่าพิภพ ยังอยู่ไหม ?

อยู่สิ! อยู่ที่แขนนี่ไง สักเอาไว้ ไม่ได้ทำแล้ว แต่อยากทำนะ วันที่ไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วก็คิดภาพไว้ว่า อยากมีบาร์ อยู่แถวทะเล กลางวันไปเซิร์ฟ ต้มเบียร์ กลางคืนเปิดบาร์ มันก็ยังเป็นฝันเล็กๆที่อยากทำอยู่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในประเทศนี้ เพราะเราทำเบียร์เองไม่ได้ วันที่ต้องไปถามกระทู้สดเรื่องนี้ในสภา ผมเริ่มต้นด้วยความฝัน เพราะผมเชื่อว่า มันมีคนอีกเยอะในประเด็นนี้ที่คิดแบบเดียวกัน วันนั้นคนในพรรคบอก โอ้ย! ไอ้เท่า พูดมาเยอะ พลิ้วอยู่แล้ว แม้เราจะรู้สึกว่า เราคือคนๆนั้น เราเป็นประชาชนที่เคยถูกจับเป็นอาชญากรมาก่อน แต่กลางสภามันทำให้เราสั่น มันเป็นการพูดด้วยวิธีอีกแบบ เราตกอยู่ในพะวัง จนต้องกลับไปทำการบ้านก่อนมาพูดเลย เพราะเรากำลังทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนอยู่ พยายามหาสไตล์นะ จะต้องมีกระดุม 4 เม็ดเหมือนพิมพิธาหรือเปล่า คิดไปคิดมา ไม่ได้ หน้าไม่ให้ ก็เลยเป็นตัวเองนี่แหละ ใส่ไปเลย แล้วพอเป็นตัวเอง มีคนมาพูดกับเรา ผมรู้สึกดีนะ พี่รังสิมา รอดรัศมี เนียแหละ เคยมาบอกผมว่า เท่า พูดเข้าใจง่าย ชาวบ้านดี

-ทำไมถึงไปไล่รัฐมนตรีให้กลับไปทำการบ้านมาใหม่ ?

เพราะ เรารู้อยู่แล้วว่า เขาจะยกเรื่องคุณภาพมาเป็นเหตุผล จึงล่อให้เขาตอบ เพื่อดัดไว้ ก่อนที่จะเข้าคำถามเรื่องเหล้าต่อ เพราะคำตอบที่เขาเตรียมมาในเรื่องเหล้าก็เป็นเรื่องคุณภาพอีกนั่นแหละ พอถึงเหล้า เขาจึงตอบต่อไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาสรรพสามิตจะบอกแบบนี้เสมอว่า เบียร์ หรือสุรา หากมีหลายๆเจ้า เขาจะไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงห้องแล็บสรรพสามิต หรือตามมหาวิทยาลัยต่างๆมีมากมาย สามารถให้ผู้ประกอบการไปตรวจได้ และในความเป็นจริงเบียร์มันไม่มีสารเคมี ทำอันตรายอย่างมากก็ท้องเสีย ราชการไทยชอบคุม ยังอยู่ในความคิดแบบคุณพ่อรู้ดี คือต้องห้ามทำนั่นทำนี่ ไม่เคยเชื่อในประชาชนของตัวเอง รัฐราชการเราดูถูกประชาชนมากนะ ไม่เชื่อในระบบตลาด เป็นทุนพิการ เพราะในทางธุรกิจ หากสินค้าที่ออกมาไม่มีคุณภาพ มันก็ต้องเจ๊งไปด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่นี่กลายเป็นว่า ไปสอดไส้เรื่องคุณภาพมาปกป้องทุน

-พอได้ดูคลิปการถามกระทู้สดของตัวเองครั้งแรก แล้วรู้สึกอะไร ?

ภูมิใจๆ เราเป็นตัวแทนของคนที่มีปัญหานี้ไปพูดจริงๆ ในเฟซบุ๊กมีคนเอาคำพูดผมไปโควต สุราพื้นบ้านเป็นเพชรเม็ดงาม บลา บลา โคตรเท่! วันนี้ให้พูดอีกทีไม่เหมือนเดิมแล้ว มันมาเอง เท่เฉยเลย (หัวเราะ) ก่อนเข้าสภา ผมเตรียมตัวมากนะ ดูคลิปการประชุมสภาของต่างประเทศ สภาไทยเก่าๆก็ดู รู้สึกว่า การทำงานในสภามันมีสเต็ปของมัน ลุกขึ้นหารือ ตั้งกระทู้ เสนอญัตติ ผมไต่มาตามลำดับ เพราะต้องการให้คนที่ไม่เห็นด้วย  เห็นด้วยกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือ Hegemony ไง อำนาจนำของ อันโตนีโอ กรัมซี่ เพราะคนมีอำนาจ เป็นถึงรัฏฐาธิปัตย์ การจะทำอะไร ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่เอาด้วยก็ทำไม่ได้หรอก อย่าง โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เขาอยากรื้อทิ้งจะตาย แต่รื้อได้ที่ไหน เพราะคนส่วนใหญ่จะเอาแบบนี้ เรื่องคราฟต์เบียร์ก็เช่นกัน การจะมี Hegemony (การใช้อำนาจครอบงำ) ได้ จะพูดเรื่องเบียร์อย่างเดียวไม่พอ ต้องเหล้าชุมชนด้วย เพราะคนจำนวนมากในสังคมมีอารมณ์ร่วมมากกว่า จากการที่เขารู้สึกว่า ทำไมถึงทำไม่ได้ ทั้งๆที่มันคือเรื่องของการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่มันเป็นเรื่องของทุกคนจริงๆ

 

บทบาทระหว่างการอภิปรายนโยบายการท่องเที่ยว ในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

-อะไรคือ ผลที่จะได้กลับมา หากรัฐปรับหลักเกณฑ์ในเรื่องขั้นต่ำการผลิตลงมา ?

ไม่ว่าจะผลิตอะไร แต่การมีผู้เล่น หรือผู้ผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายเล็กๆ มันทำให้ระบบเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาทุนใหญ่ แต่ในสังคมผูกขาด การที่เอกชนขนาดใหญ่จะเจ๊งถือเป็นเรื่องใหญ่ รัฐจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลเข้าอุ้ม เพราะมันส่งผลต่อคนจำนวนมหาศาล การมีผู้เล่นรายเล็กๆเป็นการลดภาระทำให้รัฐมีความมั่นคงมากขึ้น ยิ่งการที่รัฐอนุญาตให้คนเล็กคนน้อยเป็นเจ้าของธุรกิจได้ มันทำให้คนมีหวังมากขึ้นในการขยับชนชั้น ชีวิตจะมั่นคงขึ้น และเมื่อมีความมั่นคง Innovation จะเกิด แล้วมันก็จะทำให้คนมี Innovative ด้วย นวัตกรรมมันทำให้คนขยับตัว เหล้า เบียร์ คือนวัตกรรมที่เกิดจากคนมันว่างจากฤดูเพาะปลูก ไม่ต้องรอพระอาทิตย์ ไม่ต้องรอฝน ก็หาไรทำสักอย่าง มันก็อยู่กับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรก็คือ ข้าว

ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ชาวนาคือผู้ผลิตสาเก ฤดูทำการเกษตรก็ทำ แต่พอเก็บเกี่ยวเสร็จก็ใช้ข้าวที่ได้มาสาเกทำ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ผู้ชายในหมู่บ้านจะช่วยกัน แรงงานก็อยู่ในท้องถิ่น เขาได้อยู่กับครอบครัว แฮบปี้ไหม ชีวิตเขาถึงดีไง ที่สำคัญมีงานทำนอกฤดูเพาะปลูกด้วย เกษตรกรไทยไม่ใช่ไม่รู้จักการแปรรูป เรามีเหล้าในท้องถิ่นของเรา แต่เขาไม่ได้รับการสนับสนุน กฏระเบียบมันไม่เอื้อ การขายข้าวเป็นน้ำ มันมีราคาเยอะกว่าขายข้าวเป็นข้าว เก็บไว้ได้นานด้วย และราคาก็ทรงตัว แต่ข้าวเป็นข้าวนี่สิ ผลผลิตออกมาเยอะ ราคาก็ตก แทนที่จะได้กำไร กลับต้องหาเงินไปใช้หนี้อีก

-หลังจากกระทู้สด สเต็ปต่อไปของเรื่องนี้ วางไว้หรือยัง ?

เดี๋ยวต่อด้วยญัตติ ยื่นไปแล้วขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมธุรกิจสุรา สุราพื้นบ้าน และคราฟเบียร์ ชื่อนี้เลยอยู่ระหว่างต่อคิวเข้าสภา แต่ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่เหมือนกัน ล่าสุดไปเวียดนามไปเป็นกรรมการตัดสินเบียร์มา เขาเป็นคอมมิวนิสต์นะ แต่เขาไปไกลมาก มีเบียร์เป็นร้อย เปิดกว้างมาก

-นอกจากเรื่องเหล้า เบียร์ สนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษอีกไหม ?

ก็ธุรกิจเทาๆนี่แหละ ยกมาไว้บนโต๊ะ มันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากนะ บ่อน หวย ซ่อง ผับบาร์ เอามาอยู่ในระบบภาษีให้ได้ เอาสินบนมาจ่ายให้ประชาชนนี่มา กลัวคุมไม่ได้ก็อาจจะโซนนิ่งดูก็ได้ ทั้งหมดที่เราคุยกัน คุณรู้สึกไหม ล้วนเป็นการสู้กับทุนผูกขาด กับ รัฐราชการ ที่คุมประเทศนี้อยู่ จำได้ไหม สมัยทักษิณ พยายามปฏิรูปราชการ ทำไม่ได้ จึงต้องไปสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา คือ องค์กรมหาชนทั้งหลาย มาทำงานแทน แต่วันเวลาผ่านไป กลายเป็นดาบสองคม เป็นราชการในนามมหาชนเฉย ถามว่า อยากแก้คอรัปชั่นใช่ไหม ทลาย 2 เรื่องนี้แหละ รัฐราชการ ทุนผูกขาด แก้ได้แน่นอน ที่สำคัญยังแก้ดัดจริตคนไทยได้ด้วยที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อยู่กับความผิดปกติได้ ทั้งๆที่มันมีอยู่อย่างโจ๋งครึ่มขนาดนั้น

จริงไหมเฮีย (หัวเราะ)

————

นี่คือ ‘โอนลี่ออปชั่น’ ที่ผมมี ซอกแซกทุกพื้นที่ด้วย มอ’ไซค์ 2 หมื่นห้า

เพราะ การต้องทำงาน 2 กะ เช้าเป็นไกด์ ตกเย็นต้องรีบไปประจำการ ณ บาร์ย่านเอกมัย ในฐานะเบียร์แทนเดอร์ หลังจากลาออกจากนิติกร งานประจำในบริษัทใหญ่ ด้วยเหตุการณ์กระแทกใจ

จึงทำให้เขาตัดสินใจซื้อมอเตอร์ไซค์เพื่อร่นเวลาในการเดินทาง

นี่คือเหตุการณ์ในชีวิตช่วงหนึ่งของ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ซึ่งสุดท้ายเมื่อได้เข้าสภา เป็นนักการเมืองเต็มตัว มอร์เตอร์ไซค์คันนั้นกลายเป็นทรัพย์สินมูลค่า 25,000 บาท ที่ “เท่าพิภพ” ในฐานะ ส.ส.ประเมินราคาล่าสุดเพื่อยื่นแสดงรายการทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

ถามว่า ทำไมต้องคันนี้ เขาเล่าว่า “อยากได้แพงๆเหมือนกัน แต่ไม่มีตัง หากไม่นับมอเตอร์ไซค์จีน รุ่นนี้ถูกสุดแล้ว พวกมอเตอร์ไซค์ออโต้ก็ราคาเกือบๆ แสนหมดเลย“

เป็นฮอนด้า ดรีมซุปเปอร์คัพสีเขียว ที่เขาบอกว่า มันคลาสสิกดี

“ขี่มาหลายปีแล้ว ไปไกลสุดถึงเมืองเลยเลยนะ ตอนนั้นขี่ไปทำแคมเปญเบียร์ ไปพูดเรื่องคราฟต์เบียร์นี่แหละ ตอนหาเสียงก็ใช้ สลับกับปั่นจักรยาน”

แน่นอนว่า นอกจากคราฟต์เบียร์ รูปธรรมอันเป็นภาพจำที่ผู้คนมีต่อ “เท่าพิภพ” คือ เจ้าสองล้อคู่ใจ

ไม่ว่า จะปั่น หรือจะขี่ แต่นี่คือ เขา

“คนไม่รู้ แต่นี่มันคือ โอนลี่ออปชั่นที่ผมมี ก็อยากขับรถยนต์นะ แต่ผมไม่มีไง มอเตอร์ไซค์มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ ผมไม่ได้รู้สึกว่า ต้องแบบนั้นแบบนี่ แต่มันสะดวกเราจริงๆ ยิ่งมาเป็นส.ส. การขี่มอเตอร์ไซค์มันทำให้เราเข้าถึงผู้คนตามซอยได้ดีกว่า แล้วยังประหยัดเวลา ทำให้เรามีเวลาพักผ่อนเพิ่ม”

“ก็แค่นั้นเอง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image