‘พิชัย’ แนะ ลดงบทหารช่วยไทยเป็นประเทศรายได้สูง อัด ‘ชิมช้อปใช้’ ล้มเหลว แทบไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ

แฟ้มภาพ

‘พิชัย’ ชี้ ต้องปรับลดงบทหารหากไทยต้องการเป็นประเทศมีรายได้สูง เผย หลังปฏิวัติปี 49 งบทหารโตเกือบ 3 เท่า แถมมีจ่ายเพิ่มจากงบกลางและงบความมั่นคง ติง ใช้งบประมาณแบบอีลุ่ยฉุยแฉก ‘ชิมช้อปใช้’ ล้มเหลว แทบไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่อ้างว่างบทหารของไทยไม่เพิ่มหรือเพิ่มน้อยนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะหากมองย้อนหลังในปี 2549 ก่อนมีการปฏิวัติงบกระทรวงกลาโหมอยู่ที่ 85.9 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 งบประมาณกระทรวงกลาโหมอยู่ที่ 2.33 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 271% หรือ เกือบ 3 เท่า ใน 14 ปี โดยในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการเพิ่มของงบกระทรวงกลาโหมมากสุด โดย 5 ปี เพิ่มเฉลี่ยถึงปีละ 4.37% และมีสัดส่วนถึง 7% ของงบประมาณ ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ายังมีการจัดสรรจากงบกลางและงบความมั่นคง ไปใช้เพิ่มในด้านการทหารกันอีกมากในแต่ละปี ทำให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการทหารของไทยสูงมาก และเป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมเศรษฐกิจไทยถึงขยายตัวน้อย

นายพิชัยกล่าวว่า ทั้งนี้ เพราะการใช้จ่ายด้านทหารไม่ได้สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจ เรือดำน้ำไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงตามที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เคยพยายามแก้ตัวไว้แบบข้างๆ คูๆ ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการจะพัฒนามากขึ้น และต้องการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงก็ควรจะต้องลดงบใช้จ่ายทางทหารลง เพราะปัจจุบันยังไม่เห็นว่าไทยจะไปรบกับใคร อีกทั้งรูปแบบการรบในอนาคตอาจเปลี่ยนไป อาวุธยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อในปัจจุบันอาจจะไม่มีประโยชน์แล้วในอนาคตก็เป็นได้ เท่ากับประเทศเสียเงินฟรี โดยไทยต้องเสียสละโอกาสการพัฒนาของประเทศและความสุขของประชาชนเพื่อไปซื้ออาวุธที่กำลังจะตกยุคหมดสมัยแล้วก็เป็นได้ ดังนั้น หากไทยต้องการพัฒนาเร็วขึ้น งบทหารจะต้องถูกลดลงเพื่อนำมาจัดสรรพัฒนาประเทศในโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ เช่น คมนาคม การศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ อยากเสนอให้มีการจัดตั้งกองกำลังร่วมของอาเซียนเพื่อความสามัคคีในกลุ่มประเทศอาเซียนและจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายทางทหารของทุกประเทศสมาชิก เพื่อที่จะได้มีเงินเหลือมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกให้เจริญมากยิ่งขึ้น

“การจัดทำงบประมาณในอนาคตควรจะต้องนำทุกงบมาเรียงลำดับความสำคํญใหม่ เพื่อปรับปรุงให้ทันต่อยุคสมัย และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ” นายพิชัยกล่าว

Advertisement

นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากการใช้งบทหารและความมั่นคงจำนวนมากแล้ว การจัดสรรงบด้านอื่นก็มีการใช้อย่างสะเปะสะปะ มีการแจกเงินอย่างไม่มียุทธศาสตร์ในโครงการประชารัฐและบัตรคนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการแจกเงินเที่ยว 1,000 บาท หรือที่เรียกว่า ชิมช้อปใช้ ซึ่งเป็นการแจกเงินแบบสูญเปล่า แถมยังมีปัญหาการลงทะเบียนที่ทำได้ยาก มีข้อจำกัดปิดกั้นประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีความชำนาญในการเข้าไปลงทะเบียน และเมื่อเวลาใช้จริงก็เกิดปัญหาระบบล่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องทิ้งของที่จะช้อปไว้ในรถเข็นในห้างสรรพสินค้า ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าแจกเงินแล้วเงินตกไปอยู่กับนายทุนเจ้าของห้างสรรพสินค้า และซื้อสินค้าของนายทุนทั้งหมด ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ได้รับผลประโยชน์เลย ไม่ต่างอะไรกับนโยบายช็อปปิ้งแล้วหักภาษีได้ที่รัฐบาลทำอยู่หลายครั้งแล้วต้องยกเลิกไป เพราะพิสูจน์แล้วว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการใช้เงินอย่างสูญเปล่าเหมือนกัน อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ใครจะมีกะใจไปเที่ยว นอกจากพวกที่มีแผนจะเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ทำให้มีการเที่ยวมากขึ้น ขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังไม่กล้าตอบเลยว่า ทำโครงการชิมช้อปใช้แล้วจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเท่าไหร่ ซึ่งคงแทบไม่มีผลเลย

ย้อนอ่าน : พนักงานปาดเหงื่อ ของทิ้งกลางห้างเพียบ หลัง “ชิมช้อปใช้” ระบบล่ม

“น่าจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปทำโครงการให้ประชาชนรากหญ้าสามารถนำไปต่อยอดหารายได้เพิ่มขึ้นได้จะดีกว่ามาก หรือนำเงินดังกล่าวไปปรับปรุงสถานท่องเที่ยวให้สวยงาม และสะดวกสบายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อหารายได้เพิ่มจากการท่องเที่ยวที่จะมีการกระจายรายได้เข้าสู่ประชาชนทุกระดับมากกว่า

Advertisement

“หากจำกันได้ โครงการแจกเงินเที่ยวนึ้เคยถูกนำเสนอก่อนการเลือกตั้งแล้ว แต่ถูกสังคมโจมตีหนักมากจนต้องยกเลิกไป แต่หลังจากเลือกตั้งแล้วก็ยังนำมาปัดฝุ่นทำใหม่ ทำให้คิดว่ารัฐบาลมีกรอบคิดไอเดียเพียงเท่านี้แค่นั้นหรือ ซึ่งย้ำคิดย้ำทำแต่เรื่องไม่เกิดประโยชน์ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะกูกิลเข้าไปอ่านว่าตอนก่อนเลือกตั้งถูกด่าไว้อย่างไร และตอนนี้ถูกด่าอย่างไร ซึ่งไม่ต่างกันเลยแต่ก็ยังจะทำ หากกรอบคิดของรัฐบาลมีเท่านี้จริงๆ ก็น่าจะลาออกแล้วให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำแทนจะดีกว่ามาก ประเทศจะได้พัฒนาในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่อยู่ในสภาพแบบทุกวันนี้ ซึ่งขนาดพูดเรื่องกูเกิลเองที่บอกว่า ‘ประชาชนไม่ค่อยเปิด ทำให้ปัญหาเกิดเพราะเขาไม่เรียนรู้’ ประชาชนได้ยินกันทั้งประเทศ แต่ยังกลัาบอกว่าถูกบิดเบือน ซึ่งอยู่กันในยุคที่มีเทคโนโลยีขนาดนี้แล้วประชาชนคงตัดสินได้ว่าใครกันแน่ที่บิดเบือน” นายพิชัยกล่าว

ย้อนอ่าน : นายกฯ ฉุนถูกบิดเบือน ปมว่าคนไทยไม่เข้าถึงกูเกิล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image