ไม่ว่าการออกมาร้องท้าหน้าค่ายเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือธงนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 7 พรรคร่วมฝ่าย ค้านจะกลั่นจากมันสมองก้อนโตของผู้ใด
แต่ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม
สัมผัสได้จากการตอบ ไม่ว่าจะจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง ไม่ว่าจะจากปาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือที่พยายามทำเชิงอรรถโดย นายเทพไท เสนพงศ์
“ต้องยอมรับว่าท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันนี้ที่ไม่อยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเข้าใจท่าน”
อรรถาธิบายของ นายเทพไท เสนพงศ์ ต่างหากที่ยอดเยี่ยม
ยอดเยี่ยมเพราะสะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งอดีตและปัจจุบัน
ถามว่าเหตุใด 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงได้ออกมาร้องถามโดยถือเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเป้าหมายโดยตรง
7 พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่รู้ความเป็นจริงหรือ
ความเป็นจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคสช. ในการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ความเป็นจริงที่หัวหน้าคสช.เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)
ความเป็นจริงที่คสช.กำกับการทำ”ประชามติ”จนประสบความสำเร็จในเดือนสิงหาคม 2559
มีแต่ นายเทพไท เสนพงศ์ เท่านั้นหรือที่รู้และเข้าใจ
ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวม ไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย ต่างรู้
แต่ที่ตั้งคำถามก็เพราะต้องการคำตอบ ไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเมื่อกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนแล้วจะดำเนินการอย่างไร
รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์จะ”รับผิดชอบ”อย่างไร
ไม่ว่าคำตอบจะมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าคำตอบจะมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถือว่าบรรลุเป้าหมาย
ยิ่งอรรถาธิบายโดย นายเทพไท เสนพงศ์ ยิ่งแจ่มชัด
แจ่มชัดว่าแม้จะเป็นนโยบายประเภท”เร่งด่วน” แต่เป็นความเร่งด่วนอย่างมีเงื่อนไข เป็นความเร่งด่วนที่มีกรอบเวลาในทางความคิดไม่เหมือนกัน
ไม่เหมือนกันแม้กระทั่งภายใน”รัฐบาล”ด้วยกัน