เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพ ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย จัดแถลงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นาย เมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป.และผู้ประสานงาน 30 องค์กรประชาธิปไตย กล่าวว่า บทบาทของภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย คือ เป็นองค์กรประสานงานกลางกับทุกเครือข่าย สนับสนุนและบริการงานทางวิชาการ โดยมีสถาบันสิทธิมนุษย์มนุษยชน และสันติศึกษา ม.มหิดล เป็นศูนย์ประสานงาน และอนาคตจะเชิญ ทุกเครือข่ายมาเป็นคณะกรรมการอำนวยการ
หนึ่งในภารกิจสำคัญ คือการผลักดันเรียกร้องให้รัฐสภาแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระฯ เพื่อรณรงค์และผลักดันเวทีถกแถลงทั่วประเทศ และทำงานคู่ขนานกับพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาเพื่อผลักดันรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยร่วมกัน และเปิดกว้างให้กับภาคการเมืองทุกกลุ่ม รวมถึงพรรคการเมืองทุก ทั้งฝ่ายรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภา
“ครป.มีข้อเสนอส่วนหนึ่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือการปฏิรูปการเมืองและสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
เรื่องเศรษฐกิจปากท้องไปด้วยกันกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เราสามารถออกแบบระบบเศรษฐกิจเพื่อสังคม ป้องกัน การผูกขาดทางเศรษฐกิจ การกระจายอำนาจในทรัพยากร และที่ดินเพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวเฉพาะกลุ่มทุนไว้ในรัฐธรรมนูญได้ รวมถึงการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้า เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังสามารถออกแบบการกระจายอำนาจ จัดให้การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด การสร้างกลไกตำรวจจังหวัดและแยกอำนาจสอบสวนจากตำรวจในกระบวนการยุติธรรม การกระจายงบประมาณไปยังท้องถิ่นให้มากขึ้น รวมถึงการปฏิรูปการศึกษา เป็นต้น
ภาคีฯ จะเดินหน้าจัดกิจกรรมและเรียกร้องกับหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคการเมืองในประเทศไทย ร่วมกับ ครป.และ 30 องค์กรประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน” นายเมธากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคีฯ ออกแถลงการณ์ เนื้อหาดังนี้
“ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ในฐานะองค์กรประสานงานขององค์กรประชาธิปไตยและเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการและพลังขับเคลื่อนเพื่ออนาคตของประเทศที่ดีกว่าด้วยการทำให้เกิดรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของประชาชน รวมทั้งผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน
โดยที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 ซึ่งไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ต้น และยึดรัฐราชการเป็นศูนย์กลางนั้น ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจทางการเมืองนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจ จนเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นต้องผลักดันให้เกิด “รัฐธรรมนูญที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ในการแก้ปัญหา ด้วยการอาศัย “กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแบบมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางที่สุด” มาเป็นเครื่องมือ “สร้างการเรียนรู้สำนึกความเป็นพลเมือง” ที่คนไทยทุกหมู่เหล่าจะมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศชาติ ด้วยพลัง “ความรู้-ความรัก-ความสามัคคี” ของปวงชนชาวไทย
“ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” จึงเสนอหลักการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนี้
หลักการที่หนึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนจากทุกภาคส่วน และเปิดกว้างให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพทางวิชาการ และเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่
หลักการที่สอง ต้องทำให้เนื้อหาในรัฐธรรมนูญเป็นไปตามหลักการที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องได้รับการคุ้มครอง และยุติการสืบทอดอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน
หลักการที่สาม ต้องทำให้เกิดฉันทามติร่วมกันในสังคมเพื่อยุติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองสมานฉันท์
หลักการที่สี่ ต้องทำให้เกิดกระบวนการที่ทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งมั่นคงขึ้นพร้อมขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศทางด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้ ถกแถลงและปรึกษาหารือกันเพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและประเทศดีขึ้น
เพื่อดำเนินการตามหลักการข้างต้น
ภาคีฯ จะร่วมกันจัดเวทีถกแถลงเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจว่า ทำไมจึงกล่าวว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ยึดรัฐราชการเป็นศูนย์กลาง จึงไม่อาจแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ ขณะที่ “รัฐธรรมนูญที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” จะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาประเทศชาติและประชาชนที่ดีกว่า
ภาคีฯ จะจัดให้มีคณะกรรมการอำนวยการทำหน้าที่ประสานงานเพื่อดำเนินการและจัดกิจกรรมโดยมีรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยเป็นจุดหมายร่วมลงนามโดยองค์กรประชาธิปไตย ดังนี้
ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย
มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต)
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และ 30 องค์กรประชาธิปไตย
เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน77จังหวัด
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ภาคประชาชน
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
มูลนิธิและสถาบันปรีดี พนมยงค์
มูลนิธิเพื่อความยั่งยืน
ตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
พรรคเพื่อไทย โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
พรรคอนาคตใหม่ โดย พล.ท.พงศกร รอดชมภู
จาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมือง
นิกร จำนง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมชัย ศรีสุทธิยากร ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต