บทนำ : อย่าประมาท

กรณีสหรัฐอเมริกามีคำสั่งระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสินค้าจากประเทศไทยนั้น
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนกนั้นถือว่าถูกต้อง และการตอกย้ำต่อสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนว่า ปัญหามีไว้ให้พุ่งชน ก็เป็นเรื่องที่สมควร เพราะนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ เมื่อประสบกับปัญหาต้องหาวิธีการแก้ไข

ก่อนการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ได้เรียกประชุม ครม.เศรษฐกิจ เพื่อรับทราบความคืบหน้า
ในการแก้ไขปัญหา ถือเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกภาคส่วนหันมาตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ประมาทต่อปัญหาทางเศรษฐกิจที่อาจจะขยายตัวและบานปลายออกไปมากกว่านี้ในปี 2563 ซึ่งทั่วโลกมองว่าเป็นปีที่เศรษฐกิจแย่กว่าปีนี้อีก การดำเนินการของ พล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องนี้ น่าจะกระตุกให้ผู้รับผิดชอบที่มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กระทบต่อไทยมากนัก ได้กลับมาฉุกคิด และชวนให้ทุกฝ่ายได้คิด เพื่อคลี่คลายสถานการณ์

ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันถือว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของทุกประเทศที่ต้องเฝ้าระวังทางเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ปรากฎขึ้นในระยะหลังมีแต่แย่ลง การประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ กระทรวงการคลังเพิ่งปรับลดลงเหลือ 2.8 เปอร์เซ็นต์ ปี 2563 จีดีพี 3.3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ธนาคารกรุงเทพคาดว่าปีหน้าจีดีพีไทยจะเหลือ 2.5 เปอร์เซ็นต์ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีปัจจัยเสี่ยง

สถานการณ์เช่นนี้ การตั้งสติไม่ตื่นตระหนกเหมือนดั่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ไว้นั้นถูกแล้ว
แต่ขณะเดียวกันต้องรับทราบทั่วประเทศว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยก็ไม่แตกต่างจากเศรษฐกิจโลก นั่นคือ มีการเติบโตน้อยลง ดังนั้น จึงต้องตระเตรียมตัวรับมือกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มว่าจะต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ส่วนมาตรการรับมือกับสถานการณ์ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเป็นแกนนำ มีภาคเอกชน เป็นหุ้นส่วน และมีภาคประชาชน เป็นผู้เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ทั้งนี้ทุกอย่างต้องขับเคลื่อนไปด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง แม้จะไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ก็อย่าได้ประมาท เพราะในสภาวะเช่นนี้อะไรอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image