เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 29 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบกรณีที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งปี 2562/2563 และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ปี 2562 โดยประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูแล้งในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตการประปาส่วนภูมิภาค ต้องเฝ้าระวังใน 22 จังหวัด 56 อำเภอ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้น้ำ 717,000 ราย ภาคเหนือ 7 จังหวัด 19 อำเภอ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด 32 อำเภอ ภาคตะวันออก 1 จังหวัด และภาคใต้ 4 จังหวัด ทั้งนี้ พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่อยู่นอกเขตประปาส่วนภูมิภาค คาดว่าจะกระทบ 38 จังหวัด ภาคเหนือ 16 จังหวัด ภาคกลาง 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ภาคตะวันออก 3 จังหวัด และภาคตะวันตก 2 จังหวัด
น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า ส่วนพื้นที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทาน จำนวน 5 แห่งใน 8 จังหวัด คืออ่างเก็บน้ำกระเสียว จ.สุพรรณบุรี เขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี เขื่อนอุบลรัตน์ ครอบคุลมพื้นที่ จ.ขอนแก่น จ.ร้อยเอ็ด จ.มหาสารคาม และจ.กาฬสินธุ์ อ่างเก็บน้ำลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ขอนแก่น และจ.ชัยภูมิ ขณะที่พื้นที่ที่คาดว่ามีปริมาณน้ำเพียงพอเพื่อการเกษตรต่อเนื่อง ครอบคลุม 9 แห่งใน 28 จังหวัดใน 4 เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี
“นายกฯ กำชับให้ทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทำแผนสำรองน้ำ และแหล่งน้ำสำรอง ขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่เสี่ยง ขุดลอกลำน้ำที่ตื้นเขิน และดูแหล่งน้ำใกล้เคียง โดยต้องผลักดันปฏิบัติการเติมน้ำและพื้นที่การเกษตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดสรรปริมาณในฤดูแล้งให้ชัดเจน จึงอยากให้เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” น.ส.รัชดา กล่าว
