ปัญหาอันเนื่องจากสหรัฐประกาศตัดสิทธิ GSP กำลังจะสะท้อนลักษณะเฉพาะของการบริหารแบบ”ไทย” และโดยเฉพาะไทยในแบบหลังรัฐประหารจากเดือนพฤษภาคม 2557 เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
นั่นก็เห็นได้จากคำอ้างที่ว่าที่ถูกตัดเนื่องจากสหรัฐเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าและเติบใหญ่ในทางเศรษฐกิจ
นั่นก็เห็นได้จากคำอ้างที่ว่ามาจากกรณีการแบน 3 สารพิษ
นั่นก็เห็นได้จากเหตุผลที่ว่าสหรัฐต้องการให้เปิดโอกาสให้แรงงาน ต่างด้าวได้จัดตั้งสหภาพแรงงาน
นั่นก็เห็นได้จากเหตุผลที่ว่าเป็นการเตือนไทยไม่ให้เอนไปทางจีน
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเหตุผลหลักของสหรัฐอยู่ที่ประเด็นในเรื่อง ของแรงงานและมิได้เป็นแรงงานต่างด้าวหากแต่เป็นแรงงานไทย
ตรงนี้ต่างหากคือเนื้อหา”ใจกลาง”ของปัญหา
มติจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มอบหมายให้เป็นงานด้านหลักของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นตัวหนุน
และก็ดำเนินไปอย่างที่กระทรวงแรงงานสรุปออกมาว่า
“กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ไปเจรจาเรื่อง GSP ขณะที่เรื่องแรงงานไม่ค่อยมีอะไร”
ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับคำประกาศจากสหรัฐ
และสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับคำยืนยันภายหลังอุปทูตรักษาการเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีว่าเรื่องของแรงงานคือหัวใจ
“สหรัฐจะหารือกับรัฐบาลไทยในข้อกฎหมายต่างๆในเรื่องของแรงงานว่าจะดำเนินการร่วมกันอย่างไร”
เมื่อสหรัฐเน้นเรื่องของแรงงานเป็น”หัวใจ”การให้กระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมายังประเด็น”แรงงาน”
ขณะเดียวกัน การที่กระทรวงแรงงานเน้นเพียงประเด็นในเรื่องของสหภาพแรงงานของ”แรงงานต่างด้าว”ก็เป็นวิธีวิทยาในแบบเดียวกับของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นก็คือ หลบเลี่ยงและไม่ยอมเผชิญกับปัญหาและความเป็นจริง อันเป็นข้อสังเกตและข้อเสนอของสหรัฐ
ทั้งๆที่เรื่องนี้มีมาตั้งแต่เมื่อปี 2558
เป็นปัญหาจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต่อเนื่องมายังรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐก็ยังอยู่ในที่เดิม
เท่ากับพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐก็คิดไม่ต่างกัน