สัญญาณอันปรากฏผ่านทั้งคณะกรรมาธิการการทหาร และทั้งปลัดกระทรวงกลาโหมและเสนาธิการเหล่าทัพ เท่ากับเป็นการแสดงออกใน เชิง”สัญญะ”ทางการเมืองที่ทรงความหมาย
ไม่ว่าความสนใจจากคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
ไม่ว่า”ท่าที”ของปลัดกระทรวงกลาโหมและเสนาธิการเหล่าทัพเมื่อประสบเข้ากับความต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดซื้ออาวุธ การปรับปรุงสมรรถนะของกองทัพ
จากการสอบถามเสนาธิการทุกเหล่าทัพที่มาชี้แจงต่างไม่ยอมชี้แจงให้คณะกรรมาธิการทหารรับทราบ บอกเพียงสั้นๆว่าเป็นเรื่องความมั่นคง
และจะไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการงบประมาณเท่านั้น
คล้ายกับตัวแทนเหล่าทัพที่เดินทางไปพร้อมกับปลัดกระทรวงกลาโหม จะตระหนักดีว่าความสำคัญในขั้นตอนนี้คือ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563
จึงปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดต่อคณะกรรมาธิการการทหาร แม้จะเป็นกรรมาธิการโดยตรงต่อทหารก็ตาม
ขณะเดียวกัน หากดูจากความขึงขังอันปรากฏผ่านคณะกรรมาธิการการทหาร ก็เด่นชัดอย่างยิ่งว่างบประมาณกระทรวงกลาโหมจำนวน 233,000 ล้านบาท จะต้องอยู่ในความสนใจเป็นอย่างสูง
สัญญาณเช่นนี้ย่อมเตือนกระทรวงกลาโหม เตือนแต่ละเหล่าทัพว่าจำเป็นต้องเตรียมพร้อมให้ดี มิเช่นนั้นอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้
เหตุใดงบประมาณทหารจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง ทหารเองย่อมรู้เป็นอย่างดีว่า
คำตอบ 1 มาจากปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ
คำตอบ 1 มาจากบทบาทของทหารที่มีเป็นอย่างสูงในทางการเมืองนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
เมื่อคสช.และทหารมีบทบาทเป็นอย่างสูง ชี้เป็นชี้ตาย สังคมจึงเฝ้าจับตามองทหารอย่างเป็นพิเศษ ไม่ว่าที่มีบทบาทอยู่ในรัฐบาล ไม่ว่าที่มีบทบาทอยู่ในกองทัพ
ไม่ว่ากรรมาธิการทหาร ไม่ว่ากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ไม่ว่ากรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ล้วนต้องการฉายแสงแห่งสปอตไลต์เข้าไป
คำเตือนที่ว่า”เขตทหารห้ามเข้า”จึงแทบไม่มีความหมาย