บทบาทของ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.”ในกระบวน การ “ประชามติ” ถูกตั้ง “คำถาม”มากเป็นพิเศษ
แม้กระทั่งในเรื่องของ “เพลง”
ข้อสงสัยต่อ “เนื้อหา” ของเพลง”7 สิงหา ประชามติร่วมใจ ประชาธิปไตยมั่นคง” อยู่ตรงไหน
อยู่ตรงที่ “ไม่เป็นกลาง”
อยู่ตรงที่สะท้อน “ทัศนคติ” อันนำไปสู่ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อคนอีสาน ต่อคนเหนือ
คำว่า “เป็นกลาง” นี้แหละ “สำคัญ”
ข้อสงสัยต่อการที่ “กกต.” เลือกจัดเวทีเสวนาร่างรัฐธรมนูญและประชามติใน “ค่ายทหาร” อยู่ตรงไหน
อยู่ตรงที่เป็น “เทศะ” อัน”ไม่เหมาะสม”
ไม่เพียงเพราะภาพลักษณ์ของ “ค่ายทหาร” แย้งสวนกับภาพ ลักษณ์ของ “ประชาธิปไตย”
หากยังรู้สึกในจุดอัน”ไม่เป็นกลาง”
ถามว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นการคิดเอง เออเอง ในลักษณะอย่างที่เรียกกันในภาษาวัยรุ่นว่า
“มโน” หรือเปล่า
ไม่ใช่หรอก เป็นความรู้สึกที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ที่แสดงออกอย่างเด่นชัดก็ในสถานการณ์หลายครั้งทางการเมือง
อย่างสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516
อย่างสถานการณ์เดือนพฤษภาคม 2535
ประกอบกับ เอกลักษณ์อันเด่นชัดของ”ระบอบทหาร”คือคำสั่งอย่างที่เรียกกันว่า ซ้ายหัน ขวาหัน
แตกต่างไปจากจิตวิญญาณ “ประชาธิปไตย”
การจัดเสวนาร่างรัฐธรรมนูญและการทำประชามติใน”ค่าย ทหาร”จึงแหม่งๆ
แหม่งๆกระทั่งจำเป็นต้อง “ปรับ” เปลี่ยน
ไม่ว่าจะในเรื่องของ “เพลง” ไม่ว่าจะในเรื่องของ “เสวนา”ประชา มติ อะไรคือปัจจัยเรียกร้องต่อ “กกต.”
ตอบได้เลยว่า คือ การ”เป็นกลาง”
ตอบได้เลยว่า คือการเรียกร้องให้ “กกต.”เล่นบทเป็น “กรรม การ”
มิใช่กระโดดเข้าไปเป็น “คู่ขัดแย้ง”
เพราะว่า “กกต.”มิได้เป็น “แม่น้ำ 5 สาย”เหมือน 1 คสช. 1 ครม. 1 สนช. 1 สปท. และ 1 กรธ.
หากแต่เป็น “องค์กรอิสระ”
ใน “การเลือกตั้ง” กกต.ต้องเป็นกรรมการ ต้องเป็นกลางอย่างไร ใน กระบวนการ”ประชามติ” กกต.ก็ต้องเป็นกรรมการ ต้องเป็นกลางอย่างนั้น
อย่าเล่นบทเป็น “เซลส์แมน”เหมือน “กรธ.”
อย่าเล่นบทเป็น “เซลส์แมน”เหมือน “สนช.” และ “สปท.”
อย่าเล่นบทเป็น “เซลส์แมน”เหมือน นายวิษณุ เครืองาม
ต้องเล่นบทกรรมการ เล่นบทเป็นกลาง เล่นบทซื่อตรง
