‘เอ็กซอน โมบิล’ โฟกัสลงทุนอีอีซี ชูโปรเจ็กต์‘อุตสาหกรรมแห่งอนาคต’

หมายเหตุ รัฐบาลไทยมีนโยบายการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา รวมทั้งมีเป้าหมายยกระดับประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม สอดรับกับทิศทางของโลก “เอ็กซอน โมบิล” บริษัทพลังงานอันดับต้นของโลก วางประเทศไทยเป็นทางเลือกลำดับต้นสำหรับการลงทุนในเอเชีย โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีด้วยเทคโนโลยีทันสมัย “มติชน” มีโอกาสสัมภาษณ์ “อดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย” ประธานบริหารโครงการอุตสาหกรรมแห่งอนาคต บริษัท เอ็กซอนโมบิล จำกัด ถึงโครงการลงทุนครั้งสำคัญนี้

ความสนใจลงทุนประเทศไทย
จากการวิเคราะห์ความต้องการด้านปิโตรเคมี พบว่า ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี จะมีการเติบโตขึ้นถึง 40% ในช่วงปี 2516 ถึงปี 2540 ซึ่งความต้องการที่มากขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบภูมิภาคเอเชีย ทำให้ เอ็กซอน โมบิล เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนดังกล่าว ผ่านโรงงานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จะเป็นโครงการปิโตรเคมีที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย สามารถนำน้ำมันดิบ หรือ ฟีด สต๊อก เข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เคมีได้โดยไม่ต้องไปผ่านกระบวนการกลั่น และเทคโนโลยีนี้ เอ็กซอน โมบิล เป็นเจ้าแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยี เริ่มดำเนินการครั้งแรกในประเทศสิงคโปร์เมื่อประมาณปี 2565-65 แต่การลงทุนครั้งใหม่นี้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า

ปัจจุบัน เอ็กซอน โมบิล อยู่ระหว่างเลือกว่าจะเข้าลงทุนประเทศใดระหว่างไทย เวียดนามและจีน ซึ่งในฐานะคนไทยก็อยากผลักดัน เพราะไทยมีนโนบายอีอีซีที่น่าสนใจ มีการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศ

ขณะที่ศักยภาพภาคการก่อสร้าง แรงงาน ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทมีสัมพันธ์ที่ดีประเทศไทยต่อเนื่องยาวนานจนครบ 125 ปี ปัจจุบันมีการจ้างงานของบริษัทในเครือเอ็กซอน โมบิล ในประเทศไทยกว่า 3,000 คน หากสุดท้ายเลือกลงทุนในไทยจะช่วยเสริมความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น

Advertisement

ความคืบหน้าโครงการลงทุน
การลงทุนครั้งนี้ประเมินมูลค่าไว้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ หรือหลายแสนล้านบาท ที่ไม่สามารถกำหนดตัวเลขตายตัวได้ เพราะตัวเลขสามารถบวกและลบได้ ต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะสนับสนุนโครงการนี้หรือไม่ โดยเอ็กซอน โมบิล ศึกษาโครงการนี้มาประมาณ 1-2 ปีแล้ว และได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เมื่อปลายปี 2561 โดยข้อมูลล่าสุดภาครัฐได้มอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดหาพื้นที่ลงทุน ซึ่งเอ็กซอน โมบิล อยู่ระหว่างประสานข้อมูล รายละเอียด ทราบว่า ทาง กนอ.ได้ว่าจ้างสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นผู้ศึกษาเพื่อประเมินความเป็นไปได้ (ฟีสซิบิลิตี้ สตัดดี้) น่าจะมีความชัดเจนช่วงต้นปี 2563 โดยเอ็กซอน โมบิล วางแผนให้โครงการนี้เริ่มดำเนินการผลิตในปี 2026-27 หรือ 2569-70 เพราะหากพื้นที่ลงทุนชัดเจนจะใช้เวลาทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) เรื่องถมทะเล และอีเอชไอเอในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะเวลาที่ใช้ถมทะเลก็ 2-3 ปีแล้ว

การเดินหน้าโครงการลงทุนนี้ ที่ผ่านมา เอ็กซอน โมบิล ได้เคยเสนอโครงการต่อระดับนโยบายของไทย ทั้ง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วย เพราะเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่เป็นประโยชน์กับประเทศ

โจทย์สำคัญถมทะเล3,000ไร่
เรื่องนี้เป็นนโยบายของนายสุริยะ ที่มอบให้กับ กนอ. ศึกษาพื้นที่ภาพใหญ่ความเป็นไปได้ในการถมทะเล 3,000 ไร่ ซึ่งเอ็กซอน โมบิล ไม่ได้ลงทุนพื้นที่ทั้งหมด แต่พื้นที่นี้จะรองรับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยการลงทุนในส่วนของที่ดินอาจเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) คือ กนอ.กับเอ็กซอน โมบิล หรือกนอ.ลงทุนที่ดินตั้งเป็นเขตอุตสาหกรรม และเอ็กซอน โมบิล เข้าซื้อที่ดิน เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรมอื่นซึ่งการถมทะเลนี้เป็นข้อเสนอของ กนอ.ที่เห็นว่ามีความเหมาะสม และเป็นไปได้ เนื่องจากที่ผ่านมาท่าเรือสำคัญในภาคตะวันออกก็ใช้วิธีถมทะเลเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ ต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่โครงการที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหากมีการบริหารจัดการที่ดี และใช้เทคโนโลยีขั้นบริหารจัดการ

Advertisement

สำหรับที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้ ต้องการให้ตั้งอยู่ใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันของเอ็กซอนโมบิลที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รัศมี 5 กิโลเมตร (กม.) พื้นที่ที่บริษัทมองไว้คือ บริเวณเขาบ่อตาใต้ เพื่อผลิตโพลิเมอร์ที่มีคุณภาพพิเศษ คือ โพลิเอทิลีน และโพพีโพรพิลีนที่แข็งแรง เบา ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอนาคตอย่างรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การแพทย์ เกษตร นอกจากนี้ จะบูรณาการกระบวนการผลิตต่อเนื่องระหว่างโรงกลั่นน้ำมัน และโครงการปิโตรเคมี ที่จะสร้างขึ้นใหม่ ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการใช้จุดเด่นของโรงกลั่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ในกระบวนการผลิตจะมีองค์ประกอบหลัก คือ พลังงานไอน้ำ น้ำ และพลังงานความร้อน การที่โรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่อยู่ใกล้กับโรงกลั่นเดิมจะมีผลดีในแง่การใช้ประโยชน์จากหน่วยที่มีอยู่เดิม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ เอ็กซอน โมบิล มีฝ่ายวิจัยและพัฒนาระดับโลกที่อยู่ในไทย แต่ละปีมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 3 หมื่นล้าน) และในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเคมี บริษัทเป็นผู้นำในการผลิตตัวเร่งปฏิกิริยาสารเคมีมานานกว่า 30 ปี ทำให้สามารถผลิตโพลีเอทิลีน ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวและมีส่วนแบ่งการตลาดสินค้าประเภทนี้สูงที่สุดในโลก ขณะที่ต้นทุนการผลิตต่ำ มีกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้งานได้นาน พร้อมทั้งช่วยลดการเกิดขยะ

นอกจากนี้ ยังมีทีมสนับสนุนเพื่อให้คำแนะนำในเชิงเทคนิค ที่จะนำผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมไปให้กับผู้ประกอบการ หรือลูกค้าอื่น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่จะต่อยอด หรือใช้ประโยชน์จากสินค้าคุณภาพสูง ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

ผลประโยชน์ของประเทศไทย
การดำเนินโครงการลงทุนนี้จะทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งที่เป็นพนักงานทักษะการทำงานสูงประมาณ 800 คน การจ้างงานฝ่ายสนับสนุนประมาณ 4,000 คน และในระหว่างการก่อสร้างถึง 10,000 คน นอกจากนี้ โครงการจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเชิงนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยีแบบก้าวหน้า สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศไทย 4.0 และอุตสาหกรรมไฮเทค เอส-เคิร์ฟ ซึ่งโครงการปิโตรเคมีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญตามนโยบายแผนพัฒนา 4.0

ทั้งนี้ โพลิเมอร์ที่มีคุณภาพจากการผลิตโครงการนี้ จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมเอส-เคิร์ฟ ทั้งในด้านเกษตรกรรม การพัฒนายานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแปรรูปอาหาร การขนส่งโลจิสติกส์ และการแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้ เอ็กซอนโมบิลมีการดำเนินการเพื่อนำสิ่งที่ดีสู่สังคมไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เกิดประโยชน์ทั้งด้านการพัฒนาท้องถิ่น การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และความปลอดภัย รวมทั้งมุ่งมั่นขยายกิจกรรมและค้นหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และภูมิภาค อย่างโครงการลงทุนนี้ได้ลงพื้นที่ทำความเข้าใจชาวบ้านระดับหนึ่งแล้ว และได้ผลตอบรับที่ดี

หากต้นปี2563ภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน
โครงการนี้จะเป็นอย่างไร
ก็ขอให้ถึงเวลานั้นแล้วมาดูรายละเอียดกันอีกที ต้องไม่ลืมว่านอกจากไทย ทางเอ็กซอน โมบิล ยังมองโอกาสการลงทุนในประเทศอื่น อย่างเวียดนาม จีน เพราะการผลิตภัณฑ์จากโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้อนให้กับภูมิภาคเอเชียที่การบริโภคเติบโต ตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอยู่ในภููมิภาคนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีความมั่นใจว่าโครงการนี้เป็นการลงทุนครั้งสำคัญของเอ็กซอน โมบิล ที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งการที่ผมพูดวันนี้เพราะบริษัทสนใจ พร้อมตัดสินใจ ไม่ใช่แค่คิดแล้วพูด อยากให้คนไทยมั่นใจว่าเอ็กซอน โมบิล ต้องการลงทุนด้วยเทคโนโลยีสูงสุด สูงกว่าที่เพิ่งลงทุนในสิงคโปร์

แม้เศรษฐกิจไทยจะมีตัวเลขเติบโตแบบชะลอตัวปีนี้ แต่มั่นใจว่าอีอีซี และไทยแลนด์ 4.0 จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี และมีการเติบโตของอุตสาหกรรมระดับโลก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image