ไม่มีอะไรที่สะท้อน “ภาพ” และ “ความเป็นจริง” อันดำรงอยู่ในสังคมไทยได้เด่นชัดเท่ากับภาพอันเกิดขึ้นที่ศรีสะเกษสดๆ ร้อนๆ
แม้สื่อกระแสหลักแทบมิได้ให้ความสนใจ
หรือที่ให้ความสนใจก็ต้องการฉายภาพความไม่ดีของ “ชาวบ้าน” มากกว่าที่จะแสดงให้เห็น “ปัญหา” ที่ชาวบ้านประสบและได้รับความเดือดร้อน
ภาพ 1 คือภาพการร้องขอพบ “นายกรัฐมนตรี”
เป็นภาพของพ่อแก่ แม่เฒ่า ที่ประสบปัญหาอันเนื่องจากการสร้างเขื่อนในพื้นที่ศรีสะเกษ ในพื้นที่อุบลราชธานี มาอย่างต่อเนื่อง
ภาพ 1 คือภาพการไม่ยอมให้ “ชาวบ้าน” ได้พบของ “นายกรัฐมนตรี”
เหตุผลไม่เพียงเพราะการมาของ “สมัชชาคนจน” ไม่อยู่ในแผน เหตุผลยังอยู่ที่ว่าการมาของ “นายกรัฐมนตรี” ได้มีการกำหนด “ชาวบ้าน” เอาไว้แล้ว
นี่แหละคือ รัฐ “ราชการรวมศูนย์” อย่างที่มีการกล่าวหา
เหมือนกับว่าการออกมาของชาวบ้านที่ศรีสะเกษเป็นความต่อเนื่องจากที่ชาวบ้านได้เคยเคลื่อนไหวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ครานั้นชาวบ้านที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล
มาเพื่อแสดง “ปัญหา” มาเพื่อเรียกร้องการพบ “นายกรัฐมนตรี” แต่นายกรัฐมนตรีไม่ยอมออกมาและได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ทั้งระดับรัฐมนตรีและระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีออกมา
รับปัญหา รับปากกับชาวบ้านว่าจะแก้ไขให้
แม้ว่าจะไม่มีแถลงความคืบหน้าจากรัฐบาล แต่สภาพที่นายกรัฐมนตรีต้องเปลี่ยนที่จอดเฮลิคอปเตอร์ ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมว่ายังไม่มีการแก้ไข
ยังไม่มีการนำเข้า ครม. ยังไม่มี “มติ” อะไรออกมา
การเดินทางไปชุมนุมยาวนานเป็นเวลา 18 วัน บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลจึงสูญเปล่า การเดินทางไปเพื่อขอพบนายกรัฐมนตรีที่ศรีสะเกษจึงสูญเปล่า
กระนั้น ก็เป็นความสูญเปล่าที่ได้ “บทเรียน”
เป็นบท 1 คำพูดอันสวยหรูจากคนของรัฐบาล ไม่ว่าระดับนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าระดับรัฐมนตรี ไม่ว่าระดับผู้ช่วยรัฐมนตรี ว่างเปล่า
เสมอเป็นเพียง “น้ำยาบ้วนปาก”
เป็นการใช้คำพูดอันหะรูหะรา เป็นการใช้คำพูดเพื่อตกแต่งหน้าตา โดยที่เจ้าตัวคนพูดเองไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริง
เข้าลักษณะ “ดีแต่พูด”
บทเรียน 1 ซึ่งสำคัญก็คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ชมชอบเดินสายออกตรวจราชการในนามของการไปพบปะประชาชน
แต่ประชาชนในเป้าหมายเป็นอย่างไร
ประชาชนในเป้าหมายคือประชาชนอันผ่านการเลือกสรรมาแล้วผ่านระบบราชการ เพื่อความสบายตา สบายใจของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
“ชาวบ้าน” ที่ไม่อยู่ในเครือข่ายยากจะ “ฝ่าด่าน” ได้
ด้วยท่าทีและท่วงทำนองอันนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี สำแดงออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวบ้านต้องติด #อยู่ไม่เป็น (สุข)
ขณะเดียวกัน ด้วยท่าทีเช่นนั้นเองก็มีผลสะเทือน
ในอีกด้านหนึ่งจึงก่อให้ชาวบ้านเห็นว่านายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นบุคคลประเภท “ดีแต่พูด” แต่ไม่ทำตามที่พูด พวกเขาจึงออกมาเคลื่อนไหว
ผลก็คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี จะตกอยู่ในสภาพ #อยู่ไม่เป็น (สุข)